‘เพื่อนธนาธร’ ฟันธงอีกไม่นานก็ต้องนิรโทษกรรมคดี 112!
17 ก.ค.2568 - นายธนาพล อิ๋วสกุล บรรณาธิการบริหารสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน บุคคลใกล้ชิดนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ “การนิรโทษกรรมการเมืองโดยไม่รวมนักโทษ 112 จะนำไปสู่การนิรโทษกรรมนักโทษ 112 ในที่สุด และในเวลาอีกไม่นานด้วย”
(1) ตามอ่านความคับแค้นของเพื่อนมิตร ในโลกออนไลน์ เกี่ยวกับร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมนักโทษการเมืองในวันนี้ แล้วทุกคนหมดหวังและโกรธแค้น
อย่างที่ทราบก็คือ 2 ร่างกฎหมายนิรโทษกรรม ของภาคประชาชน และพรรคก้าวไกล ที่จะรวมคดี 112 (ไม่ว่าจะพูดหรือไม่พูดก็ตาม) นั้นถูกตีตกตั้งแต่วาระหนึ่งของการประชุมสภาผู้แทนราษฎร
แน่นอนว่า ด้วยกฎหมายฉบับนี้ การนิรโทษกรรมการเมืองคดี 112 ในห้วงเวลานี้ก็ปิดโอกาสไปโดยปริยาย ถ้าถามผมแล้วแปลกใจหรือไม่ หรือแม้กระทั่งคนรณรงค์ เรื่องนี้ในคดี 112 ก็ไม่มีใครแปลกใจหรอก เพราะหลายคนทำใจไว้ล่วงหน้าแล้ว
ในความเห็นของผม คดี 112 ไม่ใช่เป็นข้อกฎหมาย เท่ากับเป็น การต่อสู้ทางการเมือง ในการช่วงชิงความชอบธรรมว่าจะอยู่ฝ่ายใด ถ้าไม่หลอกตัวเองในห้วงเวลาเช่นนี้ คือความพ่ายแพ้ หรืออย่างน้อยก็ยังไม่ชนะ
(2) อย่างที่ทราบกัน คือ เมื่อก่อนเลือกตั้งพรรคการเมืองที่เรียกตัวเองว่า “ฝ่ายประชาธิปไตย” ทั้งพรรคก้าวไกล ในอดีต และพรรคเพื่อไทยในปัจจุบัน ก็มีจุดยืนในการเยียวยานักโทษคดี 112 ที่แตกต่างกันไป แต่เมื่อพรรคเพื่อไทยได้ตระบัดสัตย์ข้ามขั้ว ทำลายความคาดหวังของประชาชน ขณะที่พรรคก้าวไกลถึงแม้ว่าจะชนะเป็นอันดับ 1 ในการเลือกตั้ง 2566แต่เผชิญวิกฤตการณ์ยุคพรรคในวันที่ 7 สิงหาคม 2567 นั้นก็ไม่ได้ทำให้พรรคประชาชน จะเติบโตแข็งแรงเท่ากับอดีตพรรคก้าวไกล
หรือนัยหนึ่ง ปีกที่ต้องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ แก้ไข 112 หรือต่ำสุดคือนิรโทษกรรมนักโทษการเมืองคดี 112 นั้นถูกทำลายลงไปแล้ว หรือสรุปคือ ฝ่ายที่ต้องการปฏิรูป 112 ยังไม่ชนะทางการเมืองนั่นเอง
(3) แต่การแพ้ ชนะทางการเมือง นั้นไม่ได้อยู่เพียงแค่ปัญหาเฉพาะหน้า หรือดูฝ่ายเดียว กลับกัน ถ้าคู่ตรงข้าม หรืออีกฝ่ายดูเละเทะเกินกว่าที่จะรับได้ อันเกิดจากร่างกฎหมายนิรโทษกรรม ที่คาดว่าจะบังคับใช้เป็นกฎหมาย ในอีกไม่นานกล่าวคือ มันเละจนไม่สามารถจินตนาการได้ เช่น คดีการชุมนุมปิดสนามบินของกลุ่มพันธมิตรฯ ซึ่งศาลพิพากษาให้รับผิดชดใช้ในทางแพ่ง 522 ล้านบาท ได้รับนิรโทษกรรมกลับมาเป็นผู้ไม่มีความผิดใดๆทั้งสิ้น
คดีขัดขวางการเลือกตั้งเมื่อปี 2557 ของกลุ่ม กปปส. ข้อหากบฏ อั้งยี่ซ่องโจร มั่วสุมก่อความวุ่นวาย ขัดขวางการเลือกตั้งตาม พ.ร.ป.เลือกตั้งฯ ฯลฯ ได้รับนิรโทษกรรมกลับมาเป็นผู้ไม่มีความผิดใดๆ ทั้งสิ้น คดีที่มีการจราจลป่วนเมืองเพื่อสร้างเงื่อนไขในการรัฐประหาร คนเหล่านี้ได้รับนิรโทษกรรมกลับมาเป็นผู้ไม่มีความผิดใดๆทั้งสิ้น
ขณะที่ฝ่ายที่โดนคดี 112 ไม่ว่า คนอย่างอานนท์ นำภา ที่โทษติดคุกรวมกันกว่า 30 ปีแล้ว และถึงแม้กระนั้น ก็ยังไม่เป็นที่สิ้นสุดของคดีความ แต่อานนท์อยู่ในคุกโดยไม่ได้ประกันตัวมา 2 ปีแล้ว แต่นักโทษดคีป่วนเมือง ก่อจลาจล ส่วนใหญ่ไม่เคยติดคุกแม้แต่วันเดียว
คนอย่างรักชนก ศรีนอก ที่โดนคดี 112 ตัดสินในศาลชั้นต้นมาแล้วว่าจำคุก 6 ปี อยู่ในช่วงอุทธรณ์ และถ้าศาลตัดสินจำคุก และต้องเข้าคุกจริงๆ ตำแหน่ง สส. ก็จะหลุดไปด้วย ขณะที่บรรดานักโทษ การเมืองอื่นๆ เช่นกรณี พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ ถาวร เสนเนียม ได้กลับเข้าสู่เวทีการเมืองอย่าง “สง่างาม” อีกครั้ง เนื่องจากเป็นผู้ไม่มีความผิดใดๆ หรือท้ายสุดแม้แต่ “ลุงกำนัน” สุเทพ เทือกสุบรรณ เมื่อการชุมนุมของกปปส. ไม่เป็นความผิดอะไรแล้ว คนอย่างสุเทพก็สามารถกลับมาเป็นนักการเมืองได้ตามปกติ เช่นกัน
และสุดท้ายที่สำคัญที่สุดคือ เหตุผลหนึ่งที่พรรคการเมืองต่างๆ ไม่ยินยอมให้มีการนิรโทษกรรม 112 ก็คือ ถ้านิรโทษกรรม 112 แล้ว ก็ไม่มีเหตุผลอะไร ที่จะลงโทษ 44 ส.ส พรรคก้าวไกล ถึงขั้นตัดสิทธิ์ ทางการเมืองตลอดชีวิต เพียงแค่เสนอกฎหมายให้แก้ไข มาตรา 112 เท่านั้น นี่ก็เห็นได้ชัดเจนว่า การปกป้อง 112 ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองสถาบันกษัตริย์อะไรเลยเป็นเพียงแค่เครื่องมือการเอาชนะทางการเมืองเท่านั้น
(4) ดังนั้น ถ้าเราจินตนาการว่าบรรดาพันธมิตรฯ และกปปส. ทุกคนพ้นโทษหมด แถมหลายคนกับมาทำงานการเมืองด้วยแล้ว ประกอบกับโมเมนตัมในการเลือกตั้งทั่วไป ถ้าเกิดพรรคประชาชนชนะแบบแลนด์สไลด์จริง ๆ เมื่อถึงเวลานั้นการเมืองของความเป็นไปไม่ได้ (นิรโทษกรรมคดี 112) จะกลายเป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้เช่นกัน