PTG เร่งดันสัดส่วนรายได้ “นอนออยล์” โตกว่า 30% ครึ่งปีหลัง! ลุยเปิดออโต้แบคส์-โรงไฟฟ้าขยะ
นายรังสรรค์ พวงปราง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานการเงินและความยั่งยืน บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG เปิดเผยถึงผลประกอบการไตรมาส 2/2568 ว่าบริษัทมีการเติบโตจากไตรมาสก่อนหน้าเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาในภาพรวมของโครงสร้างเศรษฐกิจ พบว่ายังมีสัญญาณของการชะลอตัว โดยเฉพาะในภาคการบริโภคภายในประเทศ ซึ่งได้รับผลกระทบจากต้นทุนพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ในส่วนของการดำเนินธุรกิจของ PTG นั้น กลุ่มธุรกิจ Non-Oil ยังคงมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มร้านกาแฟและเครื่องดื่ม ซึ่งมีอัตราการเติบโตมากกว่า 30% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทำให้บริษัทวางแผนเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในกลุ่ม Non-Oil มากขึ้นในช่วงครึ่งหลังปี 2568
ส่วนครึ่งปีแรกที่ผ่านมา บริษัทได้ชะลอการลงทุนในบางส่วนของธุรกิจพลังงาน เพื่อประเมินทิศทางของภาวะเศรษฐกิจ แต่ยังคงเดินหน้าขยายกำลังในธุรกิจ Non-Oil อย่างต่อเนื่อง และเตรียมกลับมาขยายธุรกิจพลังงานเพิ่มเติมในช่วงครึ่งหลังปี 2568 โดยมุ่งเน้นไปที่การลงทุนในสถานีบริการใหม่ในทำเลศักยภาพสูง รวมถึงการรีโนเวทสถานีเดิมให้ทันสมัย ซึ่งพบว่าสามารถเพิ่มยอดขายได้กว่า 20-30% ต่อสาขา
สำหรับเป้าหมายในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 บริษัทตั้งเป้าขยายสถานีบริการกลุ่ม Non-Oil เช่น “ออโต้แบคส์” ไม่ต่ำกว่า 20 สาขา จากที่เปิดดำเนินการแล้ว 5 สาขาในครึ่งปีแรก โดยให้ความสำคัญกับการเลือกทำเลที่มีศักยภาพและสามารถสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่า เพื่อเสริมสร้างกระแสเงินสดและผลกำไรที่ยั่งยืน
ด้านธุรกิจพลังงานทดแทน โครงการโรงไฟฟ้าจากขยะ (Waste-to-Energy) เริ่มมีความคืบหน้าอย่างมีนัยสำคัญ โดยในส่วนของ RDF ได้เริ่มเดินเครื่องการผลิตแล้ว และคาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาส 3/2568 เป็นต้นไป ขณะที่การทดสอบเดินเครื่อง (Commissioning) ของโรงไฟฟ้าหลักคาดว่าจะเริ่มได้ในช่วงปลายเดือนตุลาคม และสามารถเดินเครื่องได้เต็มกำลังในเดือนมกราคม 2569
แม้ผลกระทบจากต้นทุนพลังงานและค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้ EBITDA ปีนี้มีแนวโน้มอ่อนตัวลงเล็กน้อย แต่บริษัทสามารถรักษาระดับกำไรได้ เนื่องจากสัดส่วนรายได้จากธุรกิจ Non-Oil เพิ่มขึ้นจาก 25% ในช่วงปีก่อน เป็น 30% ในช่วงครึ่งปีแรก ทั้งนี้ หากไม่มีปัจจัยลบเพิ่มเติมที่กระทบต่อโครงสร้างเศรษฐกิจ บริษัทคาดว่า EBITDA จะสามารถเติบโตได้เล็กน้อยเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
ส่วนของการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (IPO) ของบริษัทในเครือ มีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง โดย บริษัท ไพศาล แคปปิตอล จำกัด อยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมด้านระบบควบคุมภายในและเอกสารทางการเงิน และมีแนวโน้มที่จะสามารถเข้าจดทะเบียนได้ภายในปี 2569 ขณะที่ บริษัท กาแฟพันธุ์ไทย จำกัด กำลังอยู่ในขั้นตอนเดียวกัน และคาดว่าจะสามารถเข้าจดทะเบียนได้ภายในช่วงปี 2570-2571
ขณะเดียวกัน บริษัท ไทยไพบูลย์ อีควิปเม้นท์ จำกัด ซึ่งเป็นธุรกิจครอบครัวเดิมของกลุ่มบริษัท ก็กำลังอยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างภายใน โดยมีเป้าหมายที่จะสามารถเข้าสู่กระบวนการเข้าจดทะเบียน ( IPO) ได้ภายในระยะเวลาอันใกล้เช่นกัน
ด้านภาพรวมตลาดพลังงาน ยังคงเผชิญความไม่แน่นอนจากปัจจัยภายนอก เช่น ความขัดแย้งระหว่างประเทศ และนโยบายของภาครัฐ อาทิ การเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน และมาตรการชดเชยราคาดีเซลที่ผันผวน ซึ่งส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรของผู้ประกอบการบางราย อย่างไรก็ตาม PTG เชื่อว่าภาวะโดยรวมจะไม่แย่ไปกว่าช่วงที่ผ่านมา และจะสามารถทรงตัวได้ในระดับใกล้เคียงกับไตรมาส 2
สำหรับราคาเฉลี่ยของดีเซลในตลาดปัจจุบันอยู่ในกรอบ 1.70 – 1.90 บาทต่อลิตร โดยภาครัฐยังคงมีมาตรการช่วยเหลือในระดับประมาณ 2 บาทต่อลิตร แม้ในบางช่วงจะมีการอุดหนุนเกินกว่านี้แต่เป็นเพียงระยะสั้น ทั้งนี้ PTG ยังคงติดตามทิศทางนโยบายภาครัฐอย่างใกล้ชิด
“ด้วยความพร้อมทั้งในด้านกระแสเงินสด การบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และกลยุทธ์การขยายธุรกิจอย่างรอบคอบ PTG มั่นใจว่าจะสามารถรักษาการเติบโตและสร้างมูลค่าให้แก่ผู้ถือหุ้นได้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว” นายรังสรรค์ กล่าวทิ้งท้าย