สถาบันช่างศิลป์ท้องถิ่น “สืบสานภูมิปัญญาหัตถศิลป์สู่คนรุ่นใหม่” ตามรอยพระบาท “พระพันปีหลวง”
เปิดงานกันไปแล้วด้วยความประทับใจสำหรับกิจกรรม “ช่างศิลป์ถิ่นไทย สืบสานให้ยั่งยืน ครั้งที่ 3” ที่จัดโดยสถาบันช่างศิลป์ท้องถิ่น สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) มี น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิด พร้อมเยี่ยมนิทรรศการ ผลงานครูช่างและศิษย์ จากงานวิจัยของสถาบันอุดมศึกษา 15 แห่ง ที่มีการยกระดับภูมิปัญญาทอผ้าและจักสานสู่สากล การรวบรวมภูมิปัญญางานพุทธศิลป์ การรวบรวมฐานข้อมูลเกี่ยวกับงานช่างศิลป์ท้องถิ่นไทย ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (BACC)
โดย น.ส.สุดาวรรณ กล่าวว่า การจัดงานช่างศิลป์ถิ่นไทย สืบสานไว้ให้ยั่งยืน ครั้งที่ 3 ทำให้ได้เห็นถึงผลงานของสถาบันช่างศิลป์ท้องถิ่นที่เกิดจากการขับเคลื่อนภารกิจตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา ด้วยการสนับสนุนจากกระทรวง อว.ทำให้มีผลงานปรากฎเป็นรูปธรรมในจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ นำองค์ความรู้มาส่งเสริมรากแก้วแห่งศาสตร์ช่างศิลป์ท้องถิ่นและศิลปกรรมไทยให้เป็นทุนทางวัฒนธรรมที่แข็งแรง แล้วนำมาต่อยอดเป็นอาชีพ สร้างรายได้ ตามแนวทางของเศรษฐกิจสร้างสรรค์
รวมถึงยังแสดงให้เห็นถึงความร่วมมือร่วมใจของนักวิชาการสถาบันอุดมศึกษาในการทำนุบำรุงและสืบสานมรดกศิลปวัฒนธรรมของชาติที่ทำงานร่วมกับชุมชนช่างศิลป์ ช่วยให้สามารถประกอบอาชีพช่างในโลกยุคใหม่ได้อย่างมีคุณภาพ เป็นการดำเนินตามรอยพระบาทในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในการพยายายามรักษาศิลปะของคนประจำชาติ เพื่อให้คนไทยรุ่นใหม่ได้ภาคภูมิใจว่าไทยมีศิลปะวัฒนธรรมประจำชาติ ซึ่งมีเอกลักษณ์ที่งดงามไม่แพ้ชาติใด
ขณะที่เวทีเสวนาเรื่อง “วิจัยให้ส่งผลถึงชุมชน” ดร.สิริกร มณีรินทร์ นายกสภาสถาบันวิทยาลัยชุมชน กำกับดูแลสถาบันช่างศิลป์ท้องถิ่น กล่าวว่า สถาบันช่างศิลป์ท้องถิ่น ได้ทำหน้าที่อนุรักษ์ ส่งต่อและสืบสานภูมิปัญญาเชิงช่างสู่คนรุ่นใหม่ โดยสถาบันฯสนับสนุนงบประมาณให้สถาบันอุดมศึกษา ดำเนินโครงการวิจัยเพื่อสำรวจและรวบรวมข้อมูลของครูช่างหัตถศิลป์ ในหมวดหมู่งานปูนปั้น งานไม้ งานเครื่องปั้นดินเผา งานเครื่องรักเครื่องเขิน งานเครื่องสด งานเครื่องดนตรีไทย งานผ้าและสิ่งถักทอ งานศาสตราวุธไทย งานศาสนศิลป์ งานจักสาน งานกระดาษ และงานโลหศิลป์ ซึ่งจากงานวิจัยสำรวจข้อมูล 3 ปีงบประมาณวิจัย ใน 34 จังหวัด สามารถคัดเลือกช่างระดับครู ได้ถึง 1 ,130 คน และสถาบันฯ มีข้อมูลครูช่างที่สมบูรณ์ทุกประเภท 25 จังหวัด โดยสถาบันฯ ยังสามารถถอดองค์ความรู้จากงานวิจัยออกเป็นหลักสูตรระยะสั้นที่มีมาตรฐานแบบอุดมศึกษาได้ถึง 86 รายวิชา เกิดการบันทึกข้อมูลและสามารถส่งต่อความรู้ออกได้ในวงกว้างเป็นรากฐานในการก้าวเดินต่อไปของงานหัตถศิลป์ไทย พร้อมทั้งงานวิจัยยังได้ส่งเสริมให้ช่างฝีมือ ได้รับการอบรมให้องค์ความรู้ด้านการออกแบบ เพื่อให้ผลงานมีความทันสมัยเป็นที่ต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ
“การที่จะให้ช่างศิลป์ถิ่นไทย สืบสานให้ยั่งยืนได้นั้น คือการสืบสานภูมิปัญญาของครูช่าง ส่งต่อคนรุ่นใหม่ ปรับเปลี่ยนรูปแบบของงานหัตถศิลป์ให้สอดรับกับคนที่มีกำลังซื้อ ทำให้ช่างมีรายได้ที่จะหล่อเลี้ยงครอบครัว การยืดมั่นทำงานหัตถกรรมในรูปแบบเดิม ๆ อาจไม่สนองตอบกับความต้องการของตลาดในระยะยาว ดังนั้น การที่สถาบันช่างศิลป์ท้องถิ่นสนับสนุนการวิจัยให้กับชุมชน จึงเป็นก้าวสำคัญในการสืบสานและอนุรักษ์ภูมิปัญญางานช่างของไทย” ดร.สิริกร กล่าวในที่สุด
ด้าน ดร.พิมลพรรณ สกิดรัมย์ ผู้อำนวยการวิทยาลัยชุมชนน่าน กล่าวว่า การที่จะให้งานวิจัยส่งผลถึงชุมชนได้นั้น จะต้องเริ่มจากชุมชนโดยดึงองค์ความรู้และบุคลากรจากชุมชนขึ้นมา บทบาทของวิทยาลัยชุมชน (วชช.) คือตัวเชื่อมในการรู้จักชุมชน รู้สิ่งที่ชุมชนมีและนำไปจับมือกับผู้ประกอบการภายนอก งานวิจัยจึงเปรียบเหมือนเครื่องมือที่จะทำให้ชุมชนสามารถก้าวออกมาสู่ตลาดข้างนอกได้ จุดอ่อนของงานช่างคือการไม่ได้ตอบโจทย์ตลาด ที่ผ่านมารูปแบบชิ้นงานเป็นการตอบโจทย์ชีวิต ศาสนา และความเชื่อ ดังนั้นจึงต้องนำดีไซน์และเทคนิคใหม่ๆ เข้าไปสนับสนุน รวมถึงการมองหาคนรุ่นใหม่ที่มีใจรัก มีแรงบันดาลใจทำงานหัตถศิลป์รวมถึงการมีรายได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ การที่งานช่างศิลป์ท้องถิ่นมีข้อจำกัดเรื่องของตลาด เป็นเพราะช่างศิลป์ยังมีความเชื่อและอนุรักษ์ในรูปแบบเดิม ๆ ในส่วนของ วชช.น่านขณะนี้ ได้เริ่มดำเนินการจับมือกับภาคธุรกิจ และมีการออกแบบชิ้นงานโดยมีการเชื่อมโยงงานจักรสานกับงานเครื่องเงินเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อให้เกิดดีไซน์ใหม่ๆ รวมทั้งการเปิดตลาดใหม่ๆ
นายมัสรูน ซิแต ครูศิลปาชีพด้านกระจูด และประธานกลุ่มสตรีจักสานกระจูดโคกพะยอม นราธิวาส กล่าวว่า สิ่งที่ได้รับจากงานวิจัยคือการเปิดมุมมองของงานจักสาน เปลี่ยนรูปแบบการจักสานแบบเดิม ๆ ที่จะเป็นเพียงแค่กระเป๋าไปสู่เฟอร์นิเจอร์ซึ่งมีราคาที่สูงกว่า ในส่วนของลวดลายมีการออกแบบลวดลายที่ทันสมัย การลงพื้นที่ของผู้เชี่ยวชาญจากงานวิจัย เป็นการเปิดโลกใบใหม่ ให้พัฒนางานให้มีความรู้ใหม่ รู้ความต้องการของตลาด และศึกษารูปแบบของผลิตภัณฑ์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนได้ถ่ายทอดถึงชุมชนได้อย่างแท้จริง
ปิดท้ายที่ ดร.กรกต อารมณ์ดี ศิลปินศิลปาธร และนักธุรกิจเจ้าของแบรนด์ KORAKOT ผู้ยกระดับทักษะภูมิปัญญาชาวบ้านสู่นานาชาติ ที่มองว่า ตนได้เข้าร่วมทีมกับสถาบันช่างศิลป์ท้องถิ่นลงพื้นที่ตามชุมชนต่างๆ เชื่อว่างานวิจัยมีส่วนสำคัญที่ทำให้สามารถรู้จักกับชุมชนช่างศิลป์ได้อย่างแท้จริง จนทำให้เกิดการต่อยอดและพัฒนา เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจรากหญ้า ช่วยให้ชุมชนมีรายได้ที่มั่นคง เพื่อให้บุตรหลานไปสู่การศึกษาหนีห่างความยากจน ดังนั้นงานวิจัยจะต้องพัฒนาต่อไปเช่นเดียวกับงานหัตถกรรมท้องถิ่น ซึ่งต้องควบคู่กับการมองหาตลาดใหม่ ๆ ที่มีความต้องการงานหัตถกรรมร่วมสมัย เช่น เฟอร์นิเจอร์ ของใช้ตกแต่งบ้านที่มีขนาดใหญ่ และช่างของไทยสามารถทำได้เป็นการเปิดโอกาสไปสู่ตลาดต่างประเทศ เป็นการสร้างความแตกต่างให้กับประเทศไทย สำหรับช่างศิลป์ไทยในอนาคต เชื่อว่าจะมีคนรุ่นใหม่เข้ามาทำงานมากขึ้น แต่จะต้องเพิ่มองค์ความรู้ด้านการออกแบบ เข้าใจกระบวนการจักสาน การดัดแปลงศิลปะในรูปทรงจากธรรมชาติ และปฏิบัติให้เกิดความชำนาญในผลิตภัณฑ์ที่สนใจ ซึ่งจะเป็นรากฐานในการทำงานให้กับตัวเอง
กิจกรรม “ช่างศิลป์ถิ่นไทย สืบสานให้ยั่งยืน ครั้งที่ 3” สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทและความมุ่งมั่นของสถาบันช่างศิลป์ท้องถิ่น ในการอนุรักษ์ รักษางานศิลปะ และหัตถศิลป์ไทยให้คงอยู่คู่สังคมไทยอย่างแท้จริง.