ไทยเดินเกมทูตเชิงรุก “มาริษ” ชี้แจงญี่ปุ่น-เวียดนาม เคลียร์ชายแดนกัมพูชา
นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย เดินหน้าทูตเชิงรุกโดยเมื่อวันที่ 29-30 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา ได้หารือทวิภาคีกับรัฐมนตรีต่างประเทศของทั้งเวียดนามและญี่ปุ่น เพื่อกระชับความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจ พร้อมทั้งชี้แจงท่าทีของไทยต่อสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาอย่างตรงไปตรงมา โปร่งใส และมุ่งมั่นในการใช้สันติวิธีเป็นหลัก
การหารือครั้งแรกจัดขึ้นเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 กับนายบุ่ย แทงห์ เซิน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ซึ่งเดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการในลักษณะ working visit โดยทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนมุมมองอย่างลึกซึ้งในประเด็นการส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์รอบด้านระหว่างไทยกับเวียดนาม โดยมีเป้าหมายร่วมกันในการกระชับความสัมพันธ์ระยะยาวให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ผ่านการแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูงอย่างสม่ำเสมอ การส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจ และการสร้างความผูกพันระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ
จุดเน้นสำคัญอยู่ที่การเร่งจัดทำ “แผนปฏิบัติการ” เพื่อผลักดันแผนความเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์รอบด้านให้เกิดผลเป็นรูปธรรม โดยเน้นในสาขาที่มีศักยภาพสูง เช่น การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล ความมั่นคงทางอาหาร และการพัฒนากำลังคนเพื่อรองรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังได้หารือสถานการณ์ภูมิภาค โดยเฉพาะสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งฝ่ายเวียดนามแสดงความยินดีต่อการบรรลุข้อตกลงหยุดยิง และเน้นย้ำความหวังว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างสันติและเป็นไปตามกฎหมายระหว่างประเทศ
ในวันถัดมา 30 กรกฎาคม 2568 นายมาริษ ได้หารือทางโทรศัพท์กับนายอิวายะ ทาเกชิ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น โดยฝ่ายไทยได้ใช้โอกาสนี้ชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมย้ำเจตนารมณ์ของไทยในการแก้ไขปัญหาอย่างจริงใจและสันติวิธี ผ่านกลไกทวิภาคีที่ไทยและกัมพูชามีอยู่แล้ว ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายญี่ปุ่นอย่างชัดเจน โดยญี่ปุ่นระบุว่าพร้อมจะมีบทบาทร่วมในการช่วยแก้ไขสถานการณ์ดังกล่าว หากทุกฝ่ายเห็นพ้องกัน ในฐานะมิตรประเทศของไทย
นอกจากประเด็นด้านความมั่นคงแล้ว ทั้งไทยและญี่ปุ่นยังได้แลกเปลี่ยนมุมมองในการส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการค้าและการลงทุน ซึ่งนับเป็นประเด็นสำคัญในการขับเคลื่อนการฟื้นฟูเศรษฐกิจภูมิภาคหลังจากที่ทั่วโลกเผชิญวิกฤตโควิดและความท้าทายทางภูมิรัฐศาสตร์