อิสราเอล-อิหร่านหยุดยิง 48 ชม. ช่วยคนไทยจากพื้นที่เสี่ยงได้ 52 คน
เมื่อวันที่ 27 มิ.ย. นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงพัฒนาการเกี่ยวกับเหตุการณ์ความตึงเครียดระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน ว่า ขณะนี้ สถานการณ์ความตึงเครียดมีแนวโน้มลดลง ภายหลังจากที่อิสราเอลและอิหร่านบรรลุข้อตกลงหยุดยิงแล้วกว่า 48 ชั่วโมง และขยายต่อไปอีก 48 ชั่วโมง โดยท่าอากาศยานของอิสราเอลได้เปิดให้บริการตามปกติ และอิหร่านได้เริ่มเปิดน่านฟ้าบางส่วนของประเทศแล้ว ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศ และสถานเอกอัครราชทูตในภูมิภาคที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเตหะราน ประเทศอิหร่าน และสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ ประเทศอิสราเอล ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดตั้งแต่ช่วงก่อนเกิดเหตุการณ์ และดำเนินการช่วยเหลือคนไทยเมื่อเหตุการณ์ทวีความรุนแรงขึ้น โดยในอิหร่านได้เปิดศูนย์พักพิงชั่วคราวที่เมือง Amol ให้คนไทย 35 คนได้พำนัก และขณะนี้ทุกคนได้เดินทางกลับกรุงเตหะรานแล้ว
นายนิกรเดช กล่าวอีกว่า เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2568 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้โทรศัพท์หารือกับรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจอร์แดน เพื่อขอให้ช่วยเร่งรัดการผ่านด่านชายแดนสำหรับคนไทย ซึ่งส่งผลให้คนไทยสามารถข้ามแดนได้สะดวกมากขึ้น ปัจจุบัน สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเตหะราน ได้ช่วยเหลือคนไทยที่แสดงความประสงค์ออกจากอิหร่านแล้วจำนวน 11 คน และสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ ได้ร่วมกับฝ่ายต่างๆ รวมถึงบริษัท Chemo Aharon ช่วยเหลือคนไทยและแรงงานที่ประสงค์ออกจากอิสราเอลจำนวน 41 คน
นายนิกรเดช กล่าวว่า แม้สถานการณ์จะมีพัฒนาการในทางบวก แต่กระทรวงการต่างประเทศยังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเตะราน ยังอยู่ระหว่างรอรับคนไทยที่กำลังเดินทางไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราวที่เมือง Van ประเทศตุรกี อีก 40 คน ซึ่งจะเดินทางถึงในสุดสัปดาห์นี้ และกลับประเทศไทยต่อไป ทั้งนี้ หากสถานการณ์ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเตหะราน จะพิจารณาย้ายการดำเนินการกลับไปยังที่ตั้งของสถานเอกอัครราชทูตในกรุงเตหะรานในโอกาสที่เหมาะสมต่อไป ในขณะที่สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ ได้เปิดทำการตามเวลาปกติแล้วตั้งแต่วันที่ 25 มิ.ย. 2568 เป็นต้นมา