ธุรกิจไทยปี 67 รายได้ทะลุ 61 ล้านล้าน เอสเอ็มอี–บริการ กำไรพุ่ง 18%
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้วิเคราะห์ข้อมูลจากงบการเงินรอบปีบัญชี 2567 (ข้อมูลส่วนใหญ่มาจากนิติบุคคลกลุ่มรอบปีปกติ ซึ่งครบกำหนดวันที่ 4 มิถุนายน 2568) พบว่า รายได้รวมของระบบธุรกิจไทยในปี 2567 อยู่ที่ 61.14 ล้านล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 1.96% เมื่อเทียบกับปี 2566 (59.96 ล้านล้านบาท)
ขณะที่กำไรสุทธิรวมอยู่ที่ 2.79 ล้านล้านบาท เติบโตอย่างแข็งแกร่งถึง 18.16% เมื่อเทียบกับปี 2566 (2.36 ล้านล้านบาท) แสดงถึงแนวโน้มฟื้นตัวที่ชัดเจนของระบบเศรษฐกิจภาคเอกชน
ทั้งนี้ กรมฯ ได้วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกใน 5 มิติ ได้แก่
1. ขนาดธุรกิจ พบว่า ธุรกิจขนาดใหญ่ (L) ทำรายได้สูงสุดถึง 50.18 ล้านล้านบาท คิดเป็น 82.07% ของทั้งระบบ
ธุรกิจขนาดเล็ก (S) ทำรายได้ 4.75 ล้านล้านบาท คิดเป็น 7.77% ของทั้งระบบ ขณะที่อัตราการเติบโตของรายได้ก็สูงสุดที่ 28.46% เมื่อเทียบกับปี 2566 อีกทั้งกำไรสุทธิของธุรกิจขนาด S ก็เติบโตสูงสุดถึง 127.25% (จากภาวะขาดทุนปี 2566) สะท้อนว่าในปี 2567 ผู้ประกอบการขนาดเล็กมีศักยภาพในการปรับตัวและสร้างผลกำไรได้ดีกว่าธุรกิจขนาดใหญ่
2. กลุ่มธุรกิจ กลุ่มธุรกิจที่ทำรายได้และกำไรสูงใน 3 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่
ประเภทรายได้ กลุ่มขายส่ง/ขายปลีก ทำรายได้สูงสุดอยู่ที่ 26.22 ล้านล้านบาท คิดเป็น 42.89% ของทั้งระบบ กลุ่มการผลิต ทำรายได้อยู่ที่ 23.12 ล้านล้านบาท คิดเป็น 37.81% ของทั้งระบบ และกลุ่มบริการ ทำรายได้อยู่ที่ 11.80 ล้านล้านบาท คิดเป็น 19.30% ของทั้งระบบ
ประเภทกำไร กลุ่มบริการ ทำกำไรสูงสุดอยู่ที่ 1.31 ล้านล้านบาท คิดเป็น 46.87% ของทั้งระบบ และยังเป็นกลุ่มเดียวที่มีกำไรเติบโตขึ้นถึง 64.25% เมื่อเทียบกับปี 2566 รองลงมาคือ กลุ่มการผลิต ทำกำไรอยู่ที่ 1.08 ล้านล้านบาท คิดเป็น 38.84% ของทั้งระบบ และกลุ่มขายส่ง/ขายปลีก ทำกำไรอยู่ที่ 0.40 ล้านล้านบาท คิดเป็น 14.29% ของทั้งระบบ
3. ธุรกิจเด่น พบว่า นิติบุคคลที่ทำรายได้และกำไรสูงใน 3 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่
ประเภทรายได้ กลุ่มขายส่ง/ขายปลีก คือ ธุรกิจขายปลีกเครื่องประดับ ทำรายได้สูงสุดอยู่ที่ 5.14 ล้านล้านบาทรองลงมาคือ กลุ่มการผลิต คือ ธุรกิจผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ทำรายได้อยู่ที่ 3.76 ล้านล้านบาท และกลุ่มบริการ คือ ธุรกิจธนาคารพาณิชย์ ทำรายได้อยู่ที่ 1.18 ล้านล้านบาท
ประเภทกำไร กลุ่มบริการ คือ ธุรกิจโฮลดิ้ง ทำกำไรสูงสุดอยู่ที่ 0.32 ล้านล้านบาท รองลงมาคือ กลุ่มการผลิต คือ ธุรกิจผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์เสริมสำหรับยานยนต์ ทำกำไรอยู่ที่ 0.10 ล้านล้านบาท และกลุ่มขายส่ง/ขายปลีก คือ ธุรกิจขายจักรยานยนต์ ทำกำไรอยู่ที่ 0.04 ล้านล้านบาท
4. พื้นที่ตั้งธุรกิจ พบว่า กรุงเทพมหานครยังคงเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจ ทำรายได้ 37.63 ล้านล้านบาท คิดเป็น 61.55% ของรายได้นิติบุคคลทั้งประเทศ โดยมีอัตราการเติบโตของรายได้ 5.03% เมื่อเทียบกับปี 2566 ขณะที่ทำกำไรได้ 1.87 ล้านล้านบาท คิดเป็น 66.90% ของกำไรนิติบุคคลทั้งประเทศ (2.79 ล้านล้านบาท)
ส่วนพื้นที่ภาคใต้เป็นภาคเดียวที่มีความโดดเด่นด้านการเติบโตของรายได้เพิ่มสูงขึ้น 3.35% เมื่อเทียบกับปี 2566 และมีอัตราการเพิ่มขึ้นของกำไรมากที่สุดถึง 56.80% เมื่อเทียบกับปี 2566
5. เปรียบเทียบรายธุรกิจ แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ
ร้านอาหาร ทำรายได้รวมกว่า 3.27 แสนล้านบาท เติบโตขึ้น 3.69% เมื่อเทียบกับปี 2566 และมีกำไรพุ่งแรงถึง 1.5 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 58.63% เมื่อเทียบกับปี 2566
โดยนิติบุคคลที่มีรายได้โดดเด่นคือ บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (MK) (13,778 ล้านบาท), บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด (ร้านในเครืออาทิ Mister Donut, Yoshinoya, ชาบูตง) (11,919 ล้านบาท), บริษัท เดอะ คิวเอสอาร์ ออฟ เอเชีย จำกัด (KFC) (10,709 ล้านบาท), บริษัท แมคไทย จำกัด (McDonald’s) (7,961 ล้านบาท), บริษัท บี เอ็น เอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป จำกัด (สุกี้ตี๋น้อย) (7,075 ล้านบาท)
ขณะที่นิติบุคคลที่มีกำไรสูงสุดคือ บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (4,573 ล้านบาท), บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (1,772 ล้านบาท), บริษัท บี เอ็น เอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป จำกัด (สุกี้ตี๋น้อย) (1,169 ล้านบาท), บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (1,090 ล้านบาท) และ บริษัท ยัม เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด (559 ล้านบาท)
ขนส่งและ โลจิสติกส์ ทำรายได้รวม 5.19 แสนล้านบาท ลดลงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับปี 2566 แต่ทำกำไร ถึง 1.79 หมื่นล้านบาท พุ่งกว่าเท่าตัวเติบโต 105.19% เมื่อเทียบกับปี 2566
ทั้งนี้ ธุรกิจ e-Commerce เป็นปัจจัยสนับสนุนให้ธุรกิจนี้เติบโตและเป็นพันธมิตรสำคัญกับแพลตฟอร์มตลาดออนไลน์ นิติบุคคลที่มีรายได้โดดเด่นคือ บริษัท โกลบอล เจท เอ็กซ์เพรส (ไทยแลนด์) จำกัด (J&T Express) (25,487 ล้านบาท), บริษัท แฟลช เอ็กซ์เพรส จำกัด (Flash Express) (24,729 ล้านบาท), บริษัท ไทย แฮปปี้ โลจิสติกส์ จำกัด (บริษัทตัวแทนขนส่งของ Tiktok Shop ในไทย) (19,436 ล้านบาท), บริษัท ลาซาด้า เอ็กซ์เพรส จำกัด (14,329 ล้านบาท) และบริษัท ออลล์ นาว โลจิสติกส์ จำกัด (บริษัทในกลุ่ม CP บริหารจัดการโลจิสติกส์แบบครบวงจร) (11,698 ล้านบาท)
ขณะที่นิติบุคคลที่มีกำไรสูงสุดคือ บริษัท ลาซาด้า เอ็กซ์เพรส จำกัด (Lazada Express) (1,742 ล้านบาท), บริษัท แฟลช เอ็กซ์เพรส จำกัด (Flash express) (941 ล้านบาท), บริษัท โกลบอล เจท เอ็กซ์เพรส (ไทยแลนด์) จำกัด (J&T Express) (820 ล้านบาท), บริษัท นามยง เทอร์มินัล จำกัด (มหาชน) (565 ล้านบาท) และ บริษัท ดีเอชแอล โกลเบิล ฟอร์เวิร์ดดิ้ง (ประเทศไทย) (DHL) (512 ล้านบาท)
จำหน่ายยานยนต์ใหม่ ทำรายได้รวม 1.29 ล้านล้านบาท กำไร 8,239 ล้านล้านบาท แม้ธุรกิจในกลุ่มนี้จะมีรายได้และกำไรจะลดลงจากปีก่อน แต่ยังมีผู้เล่นรายใหญ่ที่สามารถทำกำไรได้สูงอยู่ นิติบุคคลที่มีรายได้โดดเด่นคือ บริษัท อีซูซุมอเตอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล โอเปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (อีซูซุ) (137,155 ล้านบาท), บริษัท บีเอ็มดับเบิลยู (ประเทศไทย) จำกัด (BMW) (44,102 ล้านบาท), บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด (เมอร์เซเดส-เบนซ์) (31,410 ล้านบาท), บริษัท ฟอร์ด เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส (ประเทศไทย) จำกัด (ฟอร์ด) (28,759 ล้านบาท) และบริษัท เรเว่ ออโตโมทีฟ จำกัด (BYD) (24,834 ล้านบาท)
ด้านนิติบุคคลที่มีกำไรสูงสุดคือ บริษัท อีซูซุมอเตอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล โอเปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (อีซูซุ) (3,065 ล้านบาท), บริษัท ฟอร์ด เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส (ประเทศไทย) จำกัด (ฟอร์ด) (2,395 ล้านบาท), บริษัท ทาทา มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด (Tata) (2,115 ล้านบาท), บริษัท เอเอเอส ออโต้ อิมพอร์ต จำกัด (นำเข้ารถปอร์เช่) (553 ล้านบาท) และบริษัท วรจักร์ยนต์ จำกัด (Toyota) (548 ล้านบาท)
ทั้งนี้ ข้อสังเกตสำคัญที่วิเคราะห์ได้จากตัวเลขของงบการเงินปี 2567 คือตัวเลขดังกล่าวสะท้อนถึงภาพรวมธุรกิจไทยที่มีความมั่นคงและพร้อมต่อการเติบโตในอนาคต โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจขนาดเล็กและภาคบริการที่สามารถสร้างการเติบโตทั้งรายได้และกำไรในอัตราสูง สะท้อนถึงความหลากหลายของโอกาสทางเศรษฐกิจในทุกระดับได้ดีอีกด้วย