โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

"Gen Z - AI" โอกาสและความท้าทาย ขับเคลื่อนองค์กรแห่งอนาคต

TNN ช่อง16

เผยแพร่ 2 วันที่แล้ว
ส่องพฤติกรรม มุมมอง และทักษะ กลุ่ม Gen Z ที่เติบโตมากับ AI

Gen Z คือกลุ่มคนที่เกิดช่วงปี 2540-2552 หรือปัจจุบันมีอายุระหว่าง 16-28 ปี ในปัจจุบันทั่วโลกมีประชากรกลุ่ม Generation Z หรือ Gen Z อยู่ประมาณ 2 พันล้านคน และในประเทศไทยมีประชากรกลุ่มนี้อยู่ประมาณ 10.8 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 20 ของแรงงานไทยทั้งหมด

เนื่องจาก Gen Z เป็นกลุ่มคนที่เติบโตและคุ้นเคยกับอินเทอร์เน็ต เทคโนโลยี และอุปกรณ์ดิจิทัล หรือเรียกได้ว่าเป็น Digital native จึงทำให้สามารถเรียนรู้และนำเทคโนโลยีไปประยุกต์ใช้ได้รวดเร็วกว่าช่วงวัยอื่นๆ ในขณะเดียวกัน กระแสปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) เริ่มเข้ามามีส่วนสำคัญในชีวิตประจำวันและการทำงานของ Gen Z มากขึ้น

ดังนั้นเพื่อให้เข้าใจพฤติกรรมการใช้งาน AI ของ Gen Z มีข้อมูลรายงานวิเคราะห์หัวข้อ "Gen Z และ AI ปัจจัยขับเคลื่อนองค์กรแห่งอนาคต" จากทีมวิจัยกรุงศรี ได้รวบรวมพฤติกรรม มุมมอง และทักษะเฉพาะ ตลอดจนเสนอแนวทางการปรับตัวขององค์กรเมื่อต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงถึง 2 ด้านพร้อมกัน ทั้งเทคโนโลยีอย่าง AI และบุคลากรรุ่นใหม่อย่าง Gen Z

โดยในรายงานฯ ระบุลักษณะของกลุ่ม Gen Z ที่น่าสนใจคือ

1. ให้คุณค่ากับสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน (Work-life balance): จากผลสำรวจของ Deloitte Global (2568) พบว่า Gen Z วัยทำงานให้ความสำคัญกับสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานมากกว่าการเติบโตในองค์กร โดยมีเพียงร้อยละ 6 เท่านั้นที่มองว่าความก้าวหน้าทางอาชีพเป็นเป้าหมายหลักในชีวิต มุมมองนี้สะท้อนให้เห็นค่านิยมที่เปลี่ยนแปลงไปจากคนรุ่นก่อน

นอกจากนี้ Gen Z ยังมองว่าปัญหาสุขภาพจิตในกลุ่มคนวัยเดียวกันเป็นประเด็นทางสังคมที่สำคัญ จึงเป็นสาเหตุที่พวกเขาแสวงหาความสมดุล และมีแนวโน้มจะเลือกเส้นทางการทำงานที่ยืดหยุ่นและเอื้อให้พักผ่อนได้อย่างเพียงพอ เพื่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดีในระยะยาว

2. คิดเร็ว ไม่ชอบรอ เพราะคุ้นเคยกับเทคโนโลยีดิจิทัลมาตั้งแต่เกิด (Digital Native): เนื่องจาก Gen Z เกิดและเติบโตในเวลาที่เทคโนโลยีดิจิทัลพัฒนาและก้าวหน้าอย่างมาก จึงคุ้นเคยกับการตอบสนองต่อคำสั่งอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังคุ้นเคยกับการติดต่อสื่อสารและรับข้อมูลข่าวสารผ่านอุปกรณ์อย่างสมาร์ตโฟนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ส่งผลให้ Gen Z ตัดสินใจอย่างรวดเร็วและไม่ชอบการรอคอย จนคนในกลุ่มวัยอื่นๆ อาจมองว่าขาดความอดทน

3. ถนัดทำงานหลายอย่างพร้อมกัน (Multi-tasking): Gen Z สามารถทำกิจกรรมหรืองานหลายอย่างในเวลาเดียวกัน สะท้อนจากผลสำรวจของ Native (2567) พบว่า Gen Z หนึ่งคนมีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เฉลี่ย 4 เครื่อง และร้อยละ 83 ใช้งานมากกว่าหนึ่งเครื่องในเวลาเดียวกัน แต่การทำงานหลายอย่างพร้อมกันนี้อาจส่งผลให้ความสามารถในการจดจ่อ (Attention span) ต่ำลง สอดคล้องกับผลการศึกษาของ Microsoft ที่พบว่ามนุษย์มีความสามารถในการจดจ่อเพียง 8 วินาที สั้นกว่าปลาทองซึ่งอยู่ที่ 9 วินาที อย่างไรก็ตาม ความถนัดเรื่อง Multi-tasking แสดงให้เห็นว่า Gen Z มีศักยภาพในการประมวลผลข้อมูลต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ แม้เทคโนโลยีที่มาแรงอย่าง AI ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของทุกช่วงวัย แต่พฤติกรรมการใช้งาน AI แตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการใช้งาน ดังนี้

Gen Z คือกลุ่มคนที่มีอายุอยู่ในช่วง 16-28 ปี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มวัยเรียน จึงใช้ AI เพื่อการศึกษามากกว่าวัยอื่นๆ โดยผลสำรวจของ SurveyMonkey ในปี 2568 พบว่าผู้ตอบฯ กลุ่ม Gen Z ใช้ AI เพื่อเพิ่มพูนความรู้มากถึงร้อยละ 61 ขณะที่ Gen Z ในสหรัฐฯ ที่เข้าสู่ตลาดแรงงานแล้วใช้ AI ในการทำงานสูงถึงร้อยละ 57 ซึ่งสูงกว่าประเทศไทยซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 37.59

โดยแพลตฟอร์มที่นิยมใช้งานมากที่สุดคือ ChatGPT นอกจากนี้ ร้อยละ 26.6 ของ Gen Z ยังใช้งาน AI เพื่อความปลอดภัย เช่น เทคโนโลยีตรวจจับใบหน้า หรือการตรวจจับอุบัติเหตุในบ้าน และร้อยละ 20.3 ใช้ในชีวิตประจำวัน

Gen Y คือกลุ่มคนที่มีอายุในช่วง 29-44 ปี ซึ่งล้วนอยู่ในวัยทำงานตอนกลาง จึงคุ้นเคยกับการใช้เทคโนโลยีในระดับหนึ่ง Gen Y จึงนิยมใช้ AI เพื่อปรับปรุงการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยร้อยละ 35 ของ Gen Y ในประเทศไทยใช้งาน AI เพื่ออำนวยความสะดวกและช่วยเหลือในการทำงาน

นอกเหนือจากการทำงานแล้ว ผลสำรวจของ BBDO พบว่า ร้อยละ 28.1 ของ Gen Y ใช้ AI เพื่ออำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน อาทิ การวิเคราะห์และแนะนำคอนเทนต์ตามความสนใจของผู้ใช้ในแอปพลิเคชันเพื่อความบันเทิง เช่น Netflix หรือ Spotify และร้อยละ 25 ใช้เพื่ออำนวยความสะดวกในการอยู่อาศัย เช่น การตรวจจับความเคลื่อนไหวภายในบ้านผ่านระบบบ้านอัจฉริยะ

Gen X คือกลุ่มคนที่มีอายุอยู่ในช่วง 45-60 ปี หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นวัยทำงานตอนกลางถึงตอนปลายที่เติบโตมากับการเปลี่ยนผ่านจากยุคอนาล็อกสู่ดิจิทัลอย่างเต็มตัว จึงเป็นกลุ่มที่ให้ความสำคัญในเรื่องความปลอดภัยและสุขภาพมากที่สุด

โดย Gen X ใช้ AI เพื่อเพิ่มระดับความปลอดภัยในชีวิตประจำวัน เช่น ร้อยละ 35.2 ใช้ AI สแกนอีเมลเพื่อตรวจจับเนื้อหาที่น่าสงสัยถึง และร้อยละ 27 ใช้ AI เพื่อดูแลสุขภาพตนเองอีกทั้งกลุ่มวัยนี้ร้อยละ 28 ยังใช้ AI เพื่อปรับปรุงการทำงานอีกด้วย

ขณะที่ กระแสปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) เริ่มเข้ามามีส่วนสำคัญในชีวิตประจำวัน และปัจจุบันคนกลุ่มวัย Gen Z กำลังทยอยเข้าสู่ตลาดแรงงาน จากความเปลี่ยนแปลงทั้ง 2 ด้านพร้อมกัน องค์กรจึงควรใช้ศักยภาพของพนักงาน Gen Z ไปพร้อมกับมองหาแนวทางในการใช้ประโยชน์จาก AI ได้อย่างเต็มที่ โดยข้อดีของการใช้ AI โดยพนักงานวัย Gen Z ดังนี้

1. เรียนรู้ได้รวดเร็ว จากความได้เปรียบที่เติบโตมากับเทคโนโลยีดิจิทัล

Gen Z เติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยีดิจิทัล จึงมีจุดเด่นในการเรียนรู้และการใช้งาน AI ได้อย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับช่วงวัยอื่นๆ ดังนั้น องค์กรที่รับพนักงาน Gen Z เข้ามาร่วมงานจะสามารถดึงศักยภาพของ Gen Z เพื่อให้เกิดการประยุกต์ใช้ AI ตลอดจนเทคโนโลยีอื่นๆ ภายในองค์กรได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่จำเป็นต้องลงทุนในการฝึกอบรมเป็นเวลานาน

2. เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน

Gen Z สามารถใช้ AI เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้ ไม่ว่าจะช่วยลดขั้นตอนการทำงาน หรือช่วยแบ่งเบาภาระงานที่ต้องทำซ้ำๆ หรืองานที่ไม่จำเป็นต้องใช้ทักษะของมนุษย์ โดยผลสำรวจของ Deloitte Global (2568) ชี้ให้เห็นว่า ร้อยละ 78 ของ Gen Z มองว่า เมื่อนำ AI มาใช้ในการทำงานจะช่วยทำให้คุณภาพงานสูงขึ้น และร้อยละ 77 มองว่า AI ช่วยให้งานเสร็จเร็วขึ้น

หรืออาจกล่าวได้ว่า AI สามารถเข้ามาช่วยให้พนักงาน Gen Z ทุ่มเทกับงานที่ต้องการความคิดสร้างสรรค์และการตัดสินใจของมนุษย์ได้อย่างเต็มที่ และช่วยให้พนักงานมีสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานที่ดีขึ้น

3. ช่วยลดต้นทุนขององค์กร

ปัจจุบัน ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Completely aged society) และกำลังเผชิญกับปัญหาจำนวนประชากรวัยทำงานที่ลดลง ส่งผลให้องค์กรต้องแข่งขันเพื่อดึงดูดแรงงานที่มีคุณภาพและอาจเผชิญกับต้นทุนค่าแรงสูงขึ้น

อย่างไรก็ตาม เมื่อ Gen Z ก้าวเข้าสู่วัยทำงานและเติบโตเป็นผู้บริหารองค์กรในอนาคต ความคุ้นเคยกับเทคโนโลยีอย่าง AI จะทำให้ Gen Z นำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อลดการพึ่งพาแรงงานมนุษย์ในบางกิจกรรม รวมถึงการปรับแบบรูปแบบการทำงานที่ยืดหยุ่น เช่น การทำงานระยะไกล หรือการจ้างงานตามโครงการ แนวทางดังกล่าวจะช่วยลดต้นทุนด้านทรัพยากรบุคคล ด้านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และเพิ่มความคล่องตัวให้กับองค์กรมากขึ้น

4. ลดกำแพงภาษาในการทำงาน

กำแพงภาษาเป็นหนึ่งในอุปสรรคสำคัญของการทำงาน โดยเฉพาะองค์กรที่ต้องติดต่อสื่อสารกับลูกค้าหรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในต่างประเทศ ซึ่งต้องพึ่งพาพนักงานที่มีทักษะภาษาหรืออาจต้องว่าจ้างล่าม จึงอาจเป็นปัญหาในบางประเทศที่ขาดแคลนล่ามที่เชี่ยวชาญในบางภาษา แต่ในปัจจุบัน AI ช่วยให้การสื่อสารกับชาวต่างชาติเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น

โดยผลสำรวจของ Google Workspace ร่วมกับ The Harris Poll (2567) พบว่า กว่าร้อยละ 70 ของผู้ตอบแบบสำรวจใช้ AI เพื่อร่างและตอบอีเมลเป็นภาษาต่างประเทศ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า AI ช่วยให้พนักงานสามารถสื่อสารภาษาต่างประเทศได้อย่างมั่นใจและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยลดข้อผิดพลาดทางการสื่อสาร นอกจากนี้ ความสามารถด้านภาษาของ AI ยังช่วยให้องค์กรสามารถขยายธุรกิจหรือเปิดตลาดต่างประเทศได้ง่ายขึ้น

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าองค์กรจะมีโอกาสได้รับประโยชน์จากพนักงาน Gen Z ที่ใช้ AI ในการทำงาน แต่การเปลี่ยนแปลงนี้ย่อมสร้างความท้าทายใหม่ๆ ให้กับองค์กรเช่นกัน ตลอดจนความเสี่ยงต่างๆ ที่องค์กรควรตระหนักถึง ดังต่อไปนี้

1. ทักษะการคิดวิเคราะห์อาจลดลงเมื่อใช้ AI มากเกินไป

งานวิจัยจาก MIT (2568) พบว่า ผู้เข้าร่วมทดลองที่ใช้ GenAI ช่วยเขียนเรียงความ มีระดับการทำงานของสมองและได้คะแนนทดสอบการคิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thinking) ต่ำกว่ากลุ่มที่ไม่ใช้ AI นอกจากนี้ ผลการทดลองแสดงให้เห็นว่า ผู้ใช้งาน AI เป็นประจำจะจดจำข้อมูลได้น้อยลง ซึ่งอาจนำไปสู่การถดถอยทางความคิดในระยะยาว

หรือกล่าวได้ว่าการใช้ AI มากเกินไปจะลดการทำงานของสมองส่วนที่เกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ ความจำ และการประมวลผล งานวิจัยชิ้นนี้ย้ำเตือนปัญหาการพึ่งพา AI ในระยะยาวว่าอาจส่งผลต่อพัฒนาการของสมอง โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ เช่น Gen Z ที่ยังเป็นช่วงวัยที่ต้องพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา และการตัดสินใจ ซึ่งหากขาดการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง อาจส่งผลกระทบต่อศักยภาพการเรียนรู้และการทำงานในอนาคต

2. องค์กรปรับตัวไม่ทัน

สะท้อนจากผลสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารองค์กร โดย Deloitte USA (2568) ซึ่งพบว่า ราว 4 ใน 10 (ร้อยละ 37) ขององค์กรยังไม่พร้อม หรือกำลังเริ่มเตรียมความพร้อมให้บุคลากรใช้ GenAI ในการทำงาน โดยเฉพาะด้านโครงสร้างพื้นฐาน นโยบายการใช้งาน หรือการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจของบุคลากร ถึงแม้บางองค์กรจะเริ่มปรับตัวแล้วแต่ก็อาจยังล่าช้าและไม่ทั่วถึง จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พนักงานรุ่นใหม่รู้สึกว่าการทำงานในองค์กรไม่ตอบโจทย์ความต้องการใช้ AI มาเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทำงาน

3. ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของข้อมูล

เนื่องจากองค์กรอาจเผชิญความเสี่ยงที่พนักงานนำข้อมูลภายในองค์กรไปป้อนเข้าสู่ระบบ AI สาธารณะ โดยไม่ตระหนักถึงความเสี่ยงด้านการรั่วไหลของข้อมูล

โดยรายงานของ Cisco (2567) ระบุว่าร้อยละ 27 ขององค์กรได้สั่งห้ามใช้ GenAI ในที่ทำงาน เนื่องจากกังวลด้านความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูล ปัญหาดังกล่าวอาจส่งผลกระทบให้เกิดความเสียหายทางธุรกิจ และอาจละเมิดกฎหมาย เช่น พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 ดังนั้น หากองค์กรขาดแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนในการควบคุมการใช้งาน AI ก็อาจเผชิญความเสี่ยงด้านชื่อเสียงและความมั่นคงทางธุรกิจ

4. ปัญหาช่องว่างระหว่างวัย (Generation Gap) ของการใช้ AI

องค์กรที่มีพนักงานหลากหลายช่วงวัยมักเกิดปัญหาช่องว่างระหว่างวัยซึ่งรวมถึงมุมมองและความเชี่ยวชาญในการใช้ AI ที่แตกต่างกันของพนักงานแต่ละกลุ่ม โดยผลสำรวจของ Barna (2567) พบว่ากลุ่ม Baby Boomer เพียงร้อยละ 18 และ Gen X ร้อยละ 35 เชื่อมั่นว่า AI เป็นกลางและถูกต้อง ซึ่งค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับ Gen Y และ Gen Z ที่เชื่อมั่นใน AI สูงถึงราวร้อยละ 50

ปัญหาช่องว่างระหว่างวัยดังกล่าวอาจส่งผลให้เกิดความตึงเครียดและความขัดแย้งในการทำงานเมื่อพนักงานบางส่วนนำ AI มาใช้งานในขณะที่ผู้บังคับบัญชาอาจยังไม่รู้สึกสะดวกใจกับ AI มากนัก รวมไปถึงปัญหาในการสื่อสาร ซึ่งอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้องค์กรนำ AI มาใช้งานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ

วิจัยกรุงศรีมองว่าองค์กรไทยจำเป็นต้องเร่งวางรากฐานการใช้งาน AI ให้มั่นคงและยืดหยุ่นเพียงพอ เพื่อรองรับพฤติกรรมการทำงานที่เปลี่ยนแปลงไปเนื่องจากเทคโนโลยีดังกล่าว โดยมีข้อเสนอแนะดังนี้

1)กำหนดนโยบายและขอบเขตการใช้งาน AI อย่างชัดเจน เพื่อสร้างแนวทางการใช้งานที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างแนวทางการใช้งานที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ

2) จัดอบรมการใช้ AI ให้แก่พนักงานทุกวัย ถึงแม้ว่า Gen Z จะคุ้นเคยกับเทคโนโลยีใหม่ๆ เป็นอย่างดี แต่การใช้ AI ในบริบทการทำงานและในองค์กรยังต้องการทักษะและความรู้เฉพาะด้านที่อาจแตกต่างจากการใช้เพื่อการศึกษาหรือใช้ในชีวิตประจำวัน

3) ปรับรูปแบบการทำงานให้ยืดหยุ่นมากขึ้น ทั้งความยืดหยุ่นเชิงกายภาพ โดยเปิดโอกาสให้ทำงานแบบ Hybrid หรือ Remote มากขึ้น และความยืดหยุ่นเชิงเทคนิค โดยอาจเริ่มจากกระบวนการทำงานพื้นฐาน เช่น การใช้เครื่องมือ AI ช่วยสรุปการประชุมได้อย่างรวดเร็วและครบถ้วนยิ่งขึ้น

4) ประเมินความคุ้มค่าในการลงทุนด้าน AI อย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนเพิ่มเติม แม้เทคโนโลยี AI จะมีศักยภาพในการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน แต่การลงทุนใน AI มักมาพร้อมกับค่าใช้จ่ายที่สูงและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นดังที่กล่าวไปแล้ว

แม้แรงงาน Gen Z และเทคโนโลยี AI จะเป็นความท้าทายใหม่ๆ ขององค์กร แต่ทั้งสองก็ถือเป็นอนาคตของโลกการทำงานที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ องค์กรจึงจำเป็นต้องเรียนรู้ ยอมรับ และปรับตัว ทั้งในเชิงนโยบาย การพัฒนาเครื่องมือ และการสร้างวัฒนธรรมการทำงานที่ยืดหยุ่นและปลอดภัย เพื่อดึงดูดและรักษาคนรุ่นใหม่ พร้อมกับใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพอย่างสมดุลและยั่งยืนไปพร้อมๆ กัน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก TNN ช่อง16

สั่งคุมเข้มมาตรฐานเนื้อหมูไทย ปลอดสารเร่งเนื้อแดง

20 นาทีที่แล้ว

ต่ออายุราชการ ทำได้จริงหรือไม่ กฎหมาย-เงื่อนไขชัดเจน

33 นาทีที่แล้ว

โซลาร์เซลล์ทางเลือกใหม่ครัวเรือนไทยแบบ All-In-One จาก EnergyLIB ทางเลือกครบวงจรสำหรับบ้านยุคใหม่

37 นาทีที่แล้ว

บทสรุป Techsauce Global Summit 2025 ตอกย้ำภาพไทยสู่ ‘Tech Gateway’ แห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

47 นาทีที่แล้ว

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความธุรกิจ-เศรษฐกิจอื่น ๆ

โพลรอยเตอร์ฟันธง ราคาทองปีนี้เห็น 3,220 ดอลล์ สิ้นปี 69 ลุ้น 4,000 ดอลล์ | คุยกับบัญชา | 7 ส.ค. 68

BTimes

แกะแผนพัฒนาโรงไฟฟ้า SMR กระตุ้นลงทุน 9.3 หมื่นลบ.

The Better

“โด ควอน” กลับลำรับสารภาพ 2 ข้อหา คดีอื้อฉาวล่มสลาย Terraform Labs มูลค่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์

Manager Online

กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง ส่อเลื่อนยาว 1 ปี เครือข่ายแรงงาน ค้าน 9 ล้านคนเสียประโยชน์ รอมา 26 ปี

Thaiger

จุลพันธ์ ยันงบฯ ปี 69 มี กระสุนพร้อมรับมือเศรษฐกิจผันผวน

การเงินธนาคาร

กนง. มติเอกฉันท์ ลดดอกเบี้ย 0.25% เหลือ 1.50% ต่อปี มีผลทันที

The Better

มติ กนง.ลดดอกเบี้ยนโยบายเหลือ 1.5% มีผลทันที

Thai PBS

SCB เดินสายหลักสูตร The Dots Bootcamps หัวเมืองใหญ่ เปิดทริคบริหารการเงินครอบครัวยั่งยืน

sanook.com

ข่าวและบทความยอดนิยม

แรงงานต่างด้าวในไทย เหลือแค่ไหน ชาวกัมพูชาเหลือเท่าไหร่

TNN ช่อง16

สิทธิลาคลอด สิทธิพ่อลาเลี้ยงดูบุตร ประเทศไหนมีสวัสดิการลาของแรงงานที่มีลูกอย่างไร

TNN ช่อง16

YouTube เริ่มแล้ว ! ใช้ AI ตรวจ “อายุ” คัดกรองผู้ใช้ต่ำกว่า 18 ปี

TNN ช่อง16
ดูเพิ่ม
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...