ปิดฉากตำนาน 4 ทศวรรษ! Airbus A320 จ่อโค่น Boeing 737 ขึ้นแท่นเครื่องบินที่ส่งมอบมากที่สุดในโลก
หลังจากขับเคี่ยวกันมานานเกือบสี่ทศวรรษ ในที่สุด Airbus A320 ก็กำลังจะแซงหน้า Boeing 737 ขึ้นเป็นเครื่องบินโดยสารเชิงพาณิชย์ที่มียอดส่งมอบมากที่สุดในประวัติศาสตร์การบิน นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของเครื่องบินที่เป็นสัญลักษณ์ของอุตสาหกรรมการบินสหรัฐฯ มาอย่างยาวนาน
ข้อมูลล่าสุดจากบริษัทที่ปรึกษาด้านการบิน Cirium ณ ต้นเดือนสิงหาคม ระบุว่า Airbus ได้ลดช่องว่างยอดส่งมอบเครื่องบินตระกูล A320 ทั้งหมด (12,155 ลำ) ให้เข้ามาใกล้ 737 เหลือเพียง 20 ลำเท่านั้น และคาดว่าจะสามารถแซงหน้าได้เร็วที่สุดภายในเดือนหน้านี้ ซึ่งถือเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญเมื่อพิจารณาว่าในปี 1988 ที่ A320 เริ่มผลิตนั้น Boeing ได้ส่งมอบ 737 ไปแล้วประมาณ 1,500 ลำ
ย้อนกลับไปในปี 1981 Airbus ซึ่งในขณะนั้นเป็นเพียงกลุ่มบริษัทการบินและอวกาศของยุโรปที่ก่อตั้งในปี 1970 ด้วยการสนับสนุนจากรัฐบาลยุโรป ได้ประกาศสร้างเครื่องบินลำตัวแคบ (Narrowbody) รุ่นใหม่เพื่อท้าชิงกับ 737 ที่ครองตลาดอยู่ แม้จะต้องเผชิญกับอุปสรรคมากมายทั้งความขัดแย้งภายในและการต้องสมดุลผลประโยชน์ทางการค้าและการเมืองระหว่างฝรั่งเศสและเยอรมนี แต่ Airbus ก็กล้าที่จะเสี่ยง
เพื่อสร้างความแตกต่าง Airbus ได้ตัดสินใจใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น ระบบควบคุมการบินแบบดิจิทัล fly-by-wire ที่ช่วยลดน้ำหนักเมื่อเทียบกับระบบไฮดรอลิกแบบเดิม และการใช้คันบังคับแบบ side-stick ด้านข้างแทนคันโยกตรงกลาง รวมถึงการออกแบบให้ตัวเครื่องอยู่สูงจากพื้นมากกว่า 737 และมีตัวเลือกเครื่องยนต์สองแบบ ซึ่งการเสี่ยงของ Airbus ครั้งนี้ได้ผลเป็นอย่างดี
ปัจจุบัน เครื่องบินตระกูล A320 และ 737 ครองสัดส่วนเกือบครึ่งหนึ่งของเครื่องบินโดยสารทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของ A320 นี้ตัดกับความล้มเหลวในโครงการอื่นๆ เช่น A380 เครื่องบินยักษ์ที่ไม่ประสบความสำเร็จเนื่องจากสายการบินไม่สามารถใช้งานได้อย่างคุ้มค่า ขณะที่ Boeing คาดการณ์ได้ถูกต้องว่าเครื่องบินขนาดเล็กและคล่องตัวอย่าง 787 Dreamliner จะได้เปรียบกว่า
การครองตลาดของเครื่องบินเพียงสองตระกูลนี้ทำให้เกิดคำถามถึงประสิทธิภาพของระบบผูกขาดสองราย (duopoly) ที่อาจให้ความสำคัญกับเสถียรภาพมากกว่านวัตกรรม ทั้งสองบริษัทเลือกที่จะปรับปรุงแบบค่อยเป็นค่อยไปเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพแทนการออกแบบเครื่องบินใหม่ทั้งลำ ซึ่งใช้ต้นทุนที่สูงกว่า
จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อ Airbus เป็นฝ่ายแรกที่นำเครื่องยนต์รุ่นใหม่ที่ประหยัดน้ำมันมาติดตั้งใน A320 กลายเป็นรุ่น ‘neo’ ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากกับสายการบินที่ต้องการลดค่าน้ำมัน ภายใต้แรงกดดัน Boeing จึงตามมาด้วย 737 Max โดยนำเครื่องยนต์ที่ทรงพลังกว่ามาติดตั้งบน 737 ซึ่งเป็นเครื่องบินรุ่นเก่าที่มีลำตัวต่ำ
แต่การออกแบบนี้กลับกลายเป็นหายนะ Boeing ต้องติดตั้งระบบรักษาเสถียรภาพการบินอัตโนมัติที่เรียกว่า MCAS เพื่อจัดการกับแรงขับที่เพิ่มขึ้นและช่วยปรับสมดุลเครื่องบิน ซึ่งหน่วยงานกำกับดูแลพบภายหลังว่า MCAS มีส่วนทำให้เกิดอุบัติเหตุเครื่องบิน 737 Max ตกถึงสองครั้งที่มีผู้เสียชีวิต นำไปสู่การสั่งห้ามบินทั่วโลกนานถึง 20 เดือนตั้งแต่ปี 2019
เมื่อไม่นานมานี้ Airbus เองก็ประสบปัญหากับเครื่องยนต์ประหยัดน้ำมันที่ใช้ใน A320neo เนื่องจากสารเคลือบพิเศษที่ใช้ในเครื่องยนต์ Pratt & Whitney รุ่นใหม่ (geared turbofan) ซึ่งออกแบบมาให้ทนความร้อนสูงเพื่อประสิทธิภาพที่ดีขึ้น กลับเกิดข้อบกพร่องและเสื่อมสภาพเร็วกว่าที่คาด ทำให้สายการบินต้องส่งเครื่องบินเข้าซ่อมบำรุงเพิ่มเติม ส่งผลให้เครื่องบินหลายร้อยลำต้องจอดรอการตรวจสอบและซ่อมแซม
Max Kingsley-Jones หัวหน้าฝ่ายที่ปรึกษาของ Cirium Ascend ตั้งคำถามไว้อย่างน่าคิดว่า “มีใครคาดคิดบ้างไหมในตอนนั้นว่า A320 จะกลายเป็นอันดับหนึ่งได้ และด้วยปริมาณการผลิตที่สูงขนาดนี้? ผมเองก็ไม่คิด และ Airbus เองก็คงไม่คิดเช่นกัน”
ในขณะที่เครื่องบินทั้งสองตระกูลใกล้จะถึงจุดสิ้นสุดของวิวัฒนาการ คำถามสำคัญคือก้าวต่อไปของอุตสาหกรรมจะเป็นอย่างไร โดยมีผู้ท้าชิงรายใหม่อย่าง Comac C919 ของจีนที่เริ่มให้บริการภายในประเทศแล้ว แต่ยังไม่ได้รับการรับรองให้บินในยุโรปหรือสหรัฐฯ
Kelly Ortberg ซีอีโอของ Boeing กล่าวเมื่อเดือนกรกฎาคมว่า บริษัทกำลังพัฒนาเครื่องบินรุ่นใหม่ภายใน แต่ยังรอให้เทคโนโลยีเครื่องยนต์และปัจจัยอื่นๆ พร้อม รวมถึงการฟื้นฟูกระแสเงินสดหลังจากประสบปัญหามาหลายปี โดยระบุว่า “นั่นไม่ใช่วันนี้และคงไม่ใช่พรุ่งนี้”
ขณะที่ Guillaume Faury ซีอีโอของ Airbus ซึ่งมีสถานะการเงินที่แข็งแกร่งกว่า จึงมีความยืดหยุ่นในการสำรวจการออกแบบที่ก้าวกระโดด เขาเคยพิจารณาเครื่องบินพลังงานไฮโดรเจนที่อาจมีดีไซน์แบบ flying wing ในช่วงกลางทศวรรษ 2030 แต่ได้เลื่อนออกไปเพื่อมุ่งเน้นที่เครื่องบินทดแทน A320 แบบดั้งเดิม โดย Airbus กำลังพิจารณาเครื่องยนต์แบบ open-rotor ที่ประหยัดน้ำมันด้วยสถาปัตยกรรมใหม่
Faury เรียก A320 ว่า ‘รูปแบบที่ค่อนข้างเก่า’ และยืนยันแผนเปิดตัวเครื่องบินรุ่นทดแทนภายในสิ้นทศวรรษนี้ เพื่อเริ่มให้บริการในช่วงกลางทศวรรษ 2030 พร้อมกล่าวว่า “ผมให้ความสำคัญอย่างมากกับการเตรียมเครื่องบินลำตัวแคบรุ่นใหม่ เรามีความมุ่งมั่นและตั้งใจจริงกับเรื่องนี้”
ภาพ : Robin Guess / Shutterstock
อ้างอิง: