เขมรซุกทุ่นระเบิดอื้อ ทบ.งัดข้อมูลออตตาวาประจาน/ไทยเล็งพา8ชาติทัวร์3วัน
"พล.อ.ณัฐพล" แจง "ศบ.ทก." ไม่เคลื่อนไหวเหตุรอประชุม RBC-GBC ก่อน จ่อชง สมช.-ครม.กำหนดการทำงานระยะสั้น-ยาว "โฆษก ทบ." โต้ "ผอ.CMAC" บิดเบือนอ้างทุ่นระเบิดยังไม่ถูกดึงสลักนิรภัย ยันตรวจพบที่ภูมะเขือ "กองทัพไทย” แฉรายงาน "ออตตาวา" ปี 67 ระบุชัดกัมพูชาครอบครองทุ่นระเบิด PMN-2 และชนิดอื่นกว่า 3,700 ลูก อ้างใช้ฝึกต่อ TMAC แจงยิบตรวจพบใหม่ในเขตไทย ละเมิดอนุสัญญาอย่างร้ายแรงพร้อมเอาผิดตาม กม.ระหว่างประเทศ "IOT" 8 ชาติลงพื้นที่ 3 วัน รับทราบข้อเท็จจริงกัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง "จิรายุ" เพิ่งตื่น "ไมเคิล" ไม่ใช่นักข่าว เป็นล็อบบี้ยิสต์ ห้ามเหยียบแผ่นดินไทย เล็งนำสื่อโลกลงพื้นที่
เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม หลังจากที่มีกระแสการปิดศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) และการเคลื่อนไหวของศูนย์ที่น้อยลง พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะรักษาการแทน รมว.กลาโหม และ ผอ.ศบ.ทก. กล่าวว่า ปัจจุบันการที่ ศบ.ทก.มีการเคลื่อนไหวไม่มาก เนื่องจากต้องรอฟังผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) ในพื้นที่บัญชาการ กองกำลังป้องกันจันทบุรีตราด (กปช.จต.) กองทัพภาคที่ 1 และกองทัพภาคที่ 2 หลังจากนั้นจะมาประเมินเพื่อเตรียมการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ซึ่งจะเกิดขึ้นในวันที่ 8-10 ก.ย.2568 ที่จะจัดขึ้นที่เสียมราฐ กัมพูชา
"ปัจจุบันได้ปรึกษากับที่ปรึกษาของ รมช.กลาโหมทั้ง 8 ท่าน เพื่อรับฟังข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการกำหนดฉากทัศน์ระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว เพื่อให้ ศบ.ทก.กำหนดฉากทัศน์ที่เหมาะสมสำหรับการดำเนินการในห้วงเวลาต่อไป และเสนอสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเห็นชอบต่อไป" พล.อ.ณัฐพลกล่าว
นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และคณะกรรมการ ศบ.ทก. เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 16 ส.ค. รัฐบาลประสบความสำเร็จในการนำคณะทูตจากประเทศสมาชิกอาเซียน รัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวา ผู้แทนด้านการเก็บกู้ทุ่นระเบิดลงพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ โดยได้เห็นข้อเท็จจริงในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากทุ่นระเบิดสังหารบุคคลที่เพิ่งถูกฝังโดยฝ่ายกัมพูชา และได้พูดคุยกับประชาชนที่ได้รับผลกระทบ เชื่อว่าคณะทูตและผู้แทนจะได้นำข้อมูลที่ได้รับไปรายงานต่อรัฐบาลของตน พร้อมถ่ายทอดความจริงต่อสาธารณชนต่อไป
นายจิรายุเปิดเผยว่า หลังจากนี้ วันที่ 18-20 ส.ค.ที่จะถึงนี้ กองทัพไทยจะนำคณะสังเกตการณ์ชั่วคราว (the Interim Observer Team-IOT) ลงพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชาด้วยเช่นกัน เพื่อรับทราบข้อเท็จ และการกระทำที่ขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศและไม่เป็นไปตามที่ได้ตกลงไว้ในการประชุม GBC ที่ผ่านมา
พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวถึงกรณี พล.ท.(หญิง) มาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา แถลงอ้างแนวทางการเก็บกู้ทุ่นระเบิดของกัมพูชา ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างสมบูรณ์ และคณะกรรมการชายแดนภูมิภาค (RBC) ไม่มีอำนาจตัดสินใจ ต้องนำเข้าหารือในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ว่า การที่กัมพูชากล่าวในลักษณะนี้ ย่อมแสดงถึงการยอมรับว่าฝ่ายกัมพูชามีการใช้ทุ่นระเบิดคุกคามทำร้ายฝ่ายไทยจริงอย่างชัดเจน โดยกัมพูชาแสดงท่าทีที่จะมีการดำเนินการในเรื่องทุ่นระเบิดนี้ ก็ต่อเมื่อข้อตกลงหยุดยิงสมบูรณ์แล้ว ซึ่งในสภาพความเป็นจริง หากฝ่ายกัมพูชายังคงใช้ทุ่นระเบิดอยู่ ข้อตกลงหยุดยิงจะมีความสมบูรณ์ได้อย่างไร โดยเฉพาะสิ่งนี้ยังเป็นอาวุธที่กัมพูชาใช้คุกคามทำร้ายฝ่ายไทยอยู่ตลอดเวลาเพียงฝ่ายเดียว มีปรากฏหลักฐานเป็นที่ประจักษ์มากมาย
ส่วนกรณีนายเฮง รัตนา ผู้อำนวยการ CMAC ชี้แจงต่อสาธารณะว่า “ทุ่นระเบิด PMN-2 ที่ฝ่ายไทยนำมาแสดงและกล่าวอ้างว่ากัมพูชาลอบวางนั้นยังไม่ถูกดึงสลักนิรภัย พล.ต.วินธัยกล่าวว่า ทุ่นระเบิดที่นำมาจัดแสดงให้คณะผู้แทนจากต่างประเทศได้ดู ถูกตรวจพบจากการเข้าตรวจค้นและทำพื้นที่ให้ปลอดภัยโดยหน่วยทหารช่าง เมื่อวันที่ 4 ส.ค.68 บริเวณพื้นที่ภูมะเขือ ในจุดที่ทหารกัมพูชาเคยวางกำลังอยู่ บริเวณดังกล่าวฝ่ายไทยได้ตรวจพบทุ่นระเบิดเป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นทุ่นระเบิดแบบ PMN-2 ซึ่งที่พบมีทั้ง 2 ลักษณะคือ ทุ่นระเบิดที่เก็บไว้ยังไม่ได้นำไปติดตั้ง จึงเห็นในภาพว่ายังมีสลักนิรภัยติดอยู่ และทุ่นระเบิดที่ติดตั้งแล้ว ซึ่งในกรณีนี้จะไม่มีสลักนิรภัย โดยทั้งสองลักษณะได้ถูกนำมาแสดงให้คณะผู้แทนจากต่างประเทศได้ดูเมื่อวันที่ 16 ส.ค.
แฉเขมรมีระเบิด 3,700ลูก
"กรณีที่นายเฮงได้นำภาพมาประกอบข่าวนั้น เป็นการเลือกภาพมาเพียงบางส่วน ไม่ใช่ทั้งหมด ซึ่งเป็นลักษณะของการพยายามนำภาพบางส่วนมาบิดเบือนข้อเท็จจริง เพื่อหวังให้เกิดความสับสนและมุ่งทำลายความน่าเชื่อถือเกี่ยวกับพยานหลักฐานของฝ่ายไทย แต่เชื่อว่าจะไม่เป็นผล เพราะผู้แทนจากต่างประเทศได้เห็นและสัมผัสกับของจริงทั้งหมดอย่างละเอียดและครบถ้วนแล้ว" พล.ต.วินธัยกล่าว
ด้าน พล.ต.วิทัย ลายถมยา โฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์ที่กำลังพลไทย 5 นาย ประสบเหตุเหยียบทุ่นระเบิดในพื้นที่ชายแดน ผลการตรวจพิสูจน์โดยเจ้าหน้าที่ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ (TMAC) ยืนยันว่าเป็นทุ่นระเบิดสังหารบุคคลชนิด PMN-2 “ใหม่ทั้งหมด” ที่ถูกวางแบบพร้อมใช้งาน โดยมีการถอดอุปกรณ์ Safety และกลบพรางอย่างแนบเนียน สภาพทุ่นมีความใหม่ ตัวอักษรคมชัด เมื่อรื้อถอนพบว่าสปริง เข็มแทงชนวน และชิ้นส่วนภายในอยู่ในสภาพใหม่สมบูรณ์ ไม่ใช่ทุ่นเก่าตามที่ฝ่ายกัมพูชากล่าวอ้าง
นอกจากนี้ บริเวณภูมะเขือยังตรวจพบทุ่นระเบิดอยู่ในสองลักษณะ โดยลักษณะแรกคือทุ่น PMN-2 ที่ยังไม่ได้ใช้งาน หางปลา (safety pin) ยังคงติดอยู่ครบถ้วน สะท้อนให้เห็นว่ากัมพูชามีทุ่นชนิดนี้ไว้ครอบครองเพื่อเตรียมใช้งาน ซึ่งถือว่าละเมิดอนุสัญญาออตตาวาโดยตรง และมีหลักฐานเชื่อมโยงว่าทุ่นเหล่านี้ถูกนำไปใช้งานจริงในหลายพื้นที่ รวมถึงกรณีที่ทำให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บ ส่วนอีกลักษณะหนึ่งเป็นทุ่นที่รื้อถอนขึ้นจากพื้นดินในสภาพที่ถูกวางใช้งานแล้ว อยู่ในสภาพพร้อมทำงาน บางลูกมีร่องรอยของเข็มแทงชนวนที่เริ่มทำงานแต่ยังไม่สมบูรณ์ การรื้อถอนดำเนินการโดยทหารราบเพื่อรวบรวมไว้ และต่อมาส่งให้เจ้าหน้าที่ TMAC มาดำเนินการนิรภัย และทำลายตามมาตรฐานสากล โดยทุกครั้งที่ทำการนิรภัย เจ้าหน้าที่จะต้องถอดตัวจุดระเบิด Detonator (DES) และ Booster ออกเพื่อลดความเสี่ยงและป้องกันอันตราย
พล.ต.วิทัยกล่าวว่า ในส่วนของความโปร่งใส ประเทศไทยได้ดำเนินการตามอนุสัญญาออตตาวาอย่างเคร่งครัด โดยพื้นที่ช่องบกและช่องอานม้าที่เกิดเหตุ เป็นพื้นที่ที่ TMAC เคยกวาดล้างทุ่นระเบิดแล้ว 100% และมีการรายงานต่อที่ประชุมอนุสัญญาทุกปี โดยไม่เคยพบทุ่น PMN-2 แต่อย่างใด ขณะเดียวกันประเทศไทยไม่เคยมีทุ่นชนิดนี้อยู่ในครอบครอง และได้ทำลายทุ่นระเบิดคงคลังทั้งหมดตั้งแต่ปี 2546 รวมถึงครั้งสุดท้ายในปี 2562 โดยไม่มี PMN-2 อยู่ในบัญชีแม้แต่ลูกเดียว
"ในทางกลับกัน เอกสารรายงานต่ออนุสัญญาออตตาวา ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2024 ระบุชัดเจนว่ากัมพูชายังคงครอบครองทุ่นระเบิดสังหารบุคคลชนิด PMN-2 และชนิดอื่นๆ รวมกว่า 3,700 ลูก โดยอ้างว่าเก็บไว้เพื่อการฝึกตามมาตรา 3 ของอนุสัญญาฯ แต่การลักลอบนำทุ่น PMN-2 มาวางในเขตอธิปไตยของประเทศไทย ถือเป็นการละเมิดอนุสัญญาอย่างร้ายแรง และเอาผิดได้ตามกฎหมายระหว่างประเทศ"
โฆษกกองทัพไทยกล่าวด้วยว่า ข้อเท็จจริงทั้งหมดที่ตรวจสอบได้จากหลักฐานทางเทคนิคและการพิสูจน์โดยตรง ยืนยันชัดเจนว่าทุ่นระเบิดที่ทำให้กำลังพลไทยได้รับบาดเจ็บเป็นทุ่นระเบิดใหม่ชนิด PMN-2 ที่ฝ่ายกัมพูชาลักลอบนำมาวางในพื้นที่ชายแดนไทย ไม่ใช่ทุ่นเก่าตามที่มีการกล่าวอ้าง จึงสะท้อนให้เห็นถึงการละเมิดอนุสัญญาออตตาวา และเป็นการกระทบต่ออธิปไตยของประเทศไทยอย่างไม่อาจปฏิเสธได้
ผู้สังเกตการณ์ 8 ประเทศลงพื้นที่
มีรายงานว่า วันที่ 18 ส.ค.68 กองบัญชาการกองทัพไทย จะนำคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (Interim Observer Team : IOT) จำนวน 8 ประเทศ ประกอบด้วย บรูไน, มาเลเซีย, ลาว, อินโดนีเซีย, เมียนมา, ฟิลิปปินส์, สิงคโปร์ และเวียดนาม รวม 14 นาย นำโดยผู้ช่วยทูตทหารมาเลเซียประจำกรุงเทพฯ เดินทางไปตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานในพื้นที่ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 (กองกำลังสุรนารี)
ทั้งนี้ เพื่อรับทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงของกัมพูชา ตามบันทึกข้อตกลงจากผลการประชุม GBC ไทย-กัมพูชา รวมทั้งการขัดขวางการปฏิบัติการในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดของศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ กำหนดการในวันแรก คณะฯ จะเดินทางจากกรุงเทพมหานครไปยัง บก.มณฑลทหารบกที่ 22 อ.เมืองฯ จ.อุบลราชธานี เพื่อรับฟังการบรรยายสรุปในช่วงเวลา 15.15 น.
วันที่ 19 ส.ค.68 เดินทางลงพื้นที่ช่องอานม้า อ.น้ำยืน และเดินทางต่อไปยังผามออีแดง อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ เพื่อรับฟังบรรยายสรุป ในประเด็นการละเมิดข้อตกลงหยุดยิง ส่วนช่วงบ่ายจะเดินทางเพื่อไปยังฐานกฤษณา-ฐานปราบศึก ใกล้ภูมะเขือ พร้อมรับชมการปฏิบัติงานของหน่วยปฏิบัติการหุ่นระเบิดด้านมนุษยธรรมที่ 2
วันที่ 20 ส.ค.68 คณะฯ ตรวจเยี่ยมเชลยศึก จากนั้นเดินทางไป รพ.พนมดงรักเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จ.สุรินทร์ เพื่อรับฟังการบรรยายสรุป พร้อมตรวจพื้นที่ผลกระทบจาก จรวดหลายลำกล้อง BM-21 ต่อจากนั้นเดินทางไปช่องจุ๊บตะโมก ตรวจพื้นที่จุดที่กำลังพล ร้อย.ทพ.2601 เหยียบกับระเบิด
พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ โฆษก ศบ.ทก. ด้านความมั่นคง ตอบโต้ข้อกล่าวหาที่บิดเบือนเกี่ยวกับการรุกล้ำดินแดนของกองกำลังไทยว่า ตามที่มีการเผยแพร่คลิปวิดีโอผ่านสื่อสังคมออนไลน์ โดยบุคคลที่ใช้ชื่อว่า นายไมเคิล อัลฟาโร (Michael B Alfaro) กล่าวอ้างว่ากองกำลังทหารไทยได้รุกล้ำดินแดนและขัดขวางการสัญจรของประชาชนกัมพูชาในพื้นที่ชายแดนนั้น ต่อมาได้ปิดกั้นการเข้าถึงสะท้อนเจตนาไม่บริสุทธิ์ ขอชี้แจงข้อเท็จจริง ดังนี้ 1.จากการตรวจสอบ นาย Michael B Alfaro มิได้มีสถานะเป็นผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบขาวของสหรัฐอเมริกา และไม่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานทางการ หรือสื่อมวลชนใดๆ ที่ได้รับการรับรอง เนื้อหาที่เผยแพร่จึงไม่อาจถือเป็นข้อมูลที่ได้รับการตรวจสอบตามมาตรฐานสื่อสากล แต่เป็นเพียงความเห็นส่วนบุคคลที่ปราศจากหลักฐานรองรับ
2.การนำเสนอที่ใช้ถ้อยคำฟันธง และกล่าวหาต่อประเทศไทย พฤติกรรมดังกล่าวเป็นการเผยแพร่ข้อมูลที่บิดเบือนและไม่สามารถยอมรับได้ 3.กองทัพไทยยืนยันอย่างหนักแน่นว่า ไม่เคยมีการรุกล้ำดินแดน และไม่เคยกระทำการที่ละเมิดอธิปไตยของประเทศเพื่อนบ้าน ภารกิจของกองกำลังไทยดำเนินไปภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ ความระมัดระวังสูงสุด และยึดมั่นในหลักสิทธิมนุษยชนสากล 4.ขอให้สื่อมวลชนและประชาคมระหว่างประเทศ ตระหนักถึงความน่าเชื่อถือของแหล่งข่าว และใช้ข้อมูลจากหน่วยงานที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม เพื่อป้องกันไม่ให้ข่าวสารที่บิดเบือนถูกนำไปขยายผลจนสร้างความตึงเครียดโดยไม่จำเป็น
"ประเทศไทยยึดมั่นในหลักสากลแห่งการอยู่ร่วมกันโดยสันติ แต่จะไม่ยอมให้ข้อมูลเท็จ การบิดเบือน หรือการยั่วยุใดๆ มาบั่นทอนศักดิ์ศรีของชาติ ทั้งนี้ หากมีการเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จในลักษณะซ้ำซากหรือบ่อนทำลายความมั่นคงของประเทศ ไทยจะพิจารณาดำเนินการตามกรอบกฎหมายและกลไกความร่วมมือระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัดและถึงที่สุด" พล.ร.ต.สุรสันต์กล่าว
นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ให้สัมภาษณ์กรณีการเชิญนายไมเคิล อัลฟาโร ให้เดินทางมาที่ประเทศไทย และจะออกค่าใช้จ่าย ค่าเครื่องบิน ค่าโรงแรมให้ รวมทั้งค่าเดินทาง อาหารการกินต่างๆ ให้ฟรีทั้งหมดนั้นว่า เป็นเรื่องจริง ตนไม่ได้พูดประชดประชัน โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ไมเคิลได้มาสัมผัสและเห็นความจริงเกี่ยวกับสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาด้วยตัวเอง ขอให้สังคมไทยอย่าเพิ่งไปตั้งแง่ว่าเขาจะเป็นงูพิษที่พร้อมจะแว้งกัดไทย ตนอยากให้เข้ามาแล้วไลฟ์สดอธิบายเหมือนที่ได้ไลฟ์สดในเขมร เชื่อว่าถ้าเขาไลฟ์แล้วมีการบิดเบือน เราก็มีเจ้าหน้าที่เข้าไปชี้แจงได้ทันที ตนจึงอยากให้เข้ามา
'จิรายุ'ยกเลิกเชิญ 'ไมเคิล'ลงพื้นที่
เมื่อถามว่า แล้วจะเชื่อเขาได้หรือไม่ เพราะหากเขาเดินทางกลับไปประเทศตัวเองแล้วไปพูดอีกอย่างหนึ่งซึ่งตรงข้ามกับความจริง นายจิรายุกล่าวว่า หากนายไมเคิลเดินทางมาประเทศไทย และยังคงนำเสนอข้อมูลที่บิดเบือนหรือไม่เป็นความจริง สังคมทั้งในและต่างประเทศจะเป็นผู้ตัดสินและประณามพฤติกรรมดังกล่าวเอง
ต่อมานายจิรายุกล่าวอีกว่า รัฐบาลเตรียมนำสื่อมวลชนระดับโลกลงพื้นที่กองกำลังสุรนารี จ.สุรินทร์ สัปดาห์หน้านี้ ในจุดที่ไทยถูกอาวุธหนักของกัมพูชาถล่ม อาทิ โรงพยาบาล โรงเรียนและพื้นที่พลเรือน จากนั้นจะเชิญสื่อมวลชนระดับโลกไปยังพื้นที่ที่รวบรวมกับระเบิดที่เจ้าหน้าที่เก็บกู้ได้โดย TMAC ก่อนจะให้ชมการปฏิบัติการทำลายวัตถุระเบิดที่ตกค้างจากการรุกล้ำอธิปไตยไทย ส่วนกรณีสำนักข่าวของกัมพูชารายงานข่าวของนายไมเคิลที่ไลฟ์สดชายแดนกัมพูชา-ไทย ด้วยการเซตฉากและกล่าวอ้างว่าตนเองเป็นสื่อมวลชนประจำทำเนียบขาวของประเทศสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่คืนวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา และกล่าวหาประเทศไทยด้วยถ้อยคำรุนแรงและใส่ร้ายป้ายสีไทยด้านเดียว
"หากมาเห็นอีกมุมที่ประเทศไทยโดนกัมพูชาโจมตีทั้งโรงเรียน พื้นที่พลเรือนและโรงพยาบาล แต่ขณะนี้พบว่านายไมเคิลไม่ได้เป็นนักข่าวประจำทำเนียบขาวจริง แถมยังแอบอ้างถึง ปธน.สหรัฐ วันนี้จึงขอบอกว่า จบข่าว ไม่ต้องมาเหยียบแผ่นดินไทยต่อไป" นายจิรายุกล่าว
ด้าน ไมเคิล อัลฟาโร โพสต์ข้อความว่า ผมกำลังอยู่ที่กัมพูชา แต่เพิ่งได้รับคำเชิญจากรัฐบาลไทยให้เดินทางข้ามไป เพื่อรับฟังมุมมองของฝ่ายไทยโดยตรง ในฐานะนักข่าว ภารกิจของผมคือการค้นหาความจริงทั้งหมดที่อยู่เบื้องหลังความขัดแย้งชายแดนครั้งนี้ ทั้งสองฝ่าย และรายงานโดยตรงต่อประชาชนชาวอเมริกัน รวมถึงสังคมโลก หลังจากที่ได้พบกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลไทยแล้ว ผมจะนำสิ่งที่ค้นพบกลับมา และรายงานต่อประธานาธิบดีทรัมป์ เพื่อที่ท่านจะได้ตัดสินใจอย่างรอบด้านว่าจะก้าวต่อไปอย่างไร เพื่อมุ่งสู่สันติภาพที่ยั่งยืนระหว่างกัมพูชากับไทย กรุณาให้ข้อมูลช่องทางการติดต่อที่ดีที่สุดเพื่อให้สิ่งนี้เกิดขึ้นได้จริง
ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล สส.บัญชีรายชื่อ และรองโฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงว่า หลังเหตุปะทะตามแนวชายแดนคลี่คลาย รัฐบาลได้ดำเนินการควบคู่ทั้งด้านความมั่นคง ด้านการทูต และการเยียวยาประชาชน โดยยึดหลักสูงสุดว่า ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน อธิปไตย และบูรณภาพแห่งดินแดน ต้องมาก่อนสิ่งอื่นใด และทุกการดำเนินการจะยึดตามหลักสากลที่ทั่วโลกยอมรับ ซึ่งในการประชุม RBC ภาคตะวันออก ฝั่งจันทบุรี-ตราด เมื่อวันที่ 15-16 สิงหาคมที่ผ่านมา ทั้งสองประเทศได้ยืนยันกรอบปฏิบัติ 13 ข้อ ตามที่ตกลงกันในเวที GBC เมื่อ 7 สิงหาคม ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์
ในส่วนความเสียหาย กระทรวงมหาดไทย โดยท่านภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้สั่งการให้กรมโยธาธิการและผังเมือง ตั้งศูนย์ตรวจสอบอาคารใน 7 จังหวัดชายแดน เพื่อออกแบบมาตรฐานซ่อมเร่งด่วน ซึ่งขณะนี้ตรวจพบความเสียหายกว่า 300 หลังใน 4 จังหวัดหลัก คือ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ สุรินทร์ และอุบลราชธานี โดยมีการทยอยส่งมอบบ้านพักชั่วคราว (Prefab) ให้ครอบครัวที่บ้านเรือนเสียหายทั้งหลังแล้ว 11 หลัง และจะทยอยส่งมอบเพิ่มเติมตามผลการสำรวจและความพร้อมของพื้นที่
ที่วัดกลางบัวเชด ต.บัวเชด อ.บัวเชด จ.สุรินทร์ สถานที่จัดพิธีบำเพ็ญกุศลศพของพลทหารรัฐภูมิ เทพศิริ สังกัดกองร้อยทหารราบที่ 1623 ซึ่งก่อเหตุยิงวัยรุ่น 2 รายได้รับบาดเจ็บ เมื่อวันที่ 15 สิงหาคมที่ผ่านมา ก่อนจะถูกพบว่าเสียชีวิตจากการยิงตัวเอง บริเวณป่าริมคลองส่งน้ำบ้านเขื่อนแก้ว ในพื้นที่ อ.กาบเชิง
บรรยากาศภายในวัดเต็มไปด้วยความโศกเศร้า ชาวบ้านต่างมาช่วยกันกางเต็นท์และจัดสถานที่เพื่อรองรับแขกที่จะเดินทางมาร่วมพิธีสวดพระอภิธรรม โดยมีพิธีฌาปนกิจ เวลา 14.00 น.