เกาะประเด็นการเมืองวันนี้ จับตา พรรคประชาชน ‘หล่อเลือกได้กั๊กเสียงโหวต’
ความเคลื่อนไหวทางการเมืองวันนี้เป็นที่น่าจับตาการที่พรรคเพื่อไทย จะส่งเทียบเชิญพรรคประชาชน (ปชน.) เข้าร่วมรัฐบาล เพจเฟซบุ๊กพรรคเพื่อไทยโพสต์ข้อความว่า "พรรคเพื่อไทยยินดีตอบรับข้อเสนอจากพรรคประชาชนทุกประการ และมีข้อเสนอเพิ่มเติม เพื่อความชัดเจนถึงแนวทางปฏิบัติ และแก้ไขปัญหาของประเทศดังนี้ 1.รัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่ตั้งขึ้นจากข้อตกลงนี้ จะยุบสภาภายใน 4 เดือนนับจากวันแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา และหากกระบวนการตามเงื่อนไขบรรลุผลก่อนกำหนดเวลา รัฐบาลจะยุบสภาทันที
2.การทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะตั้งคำถามเรื่องเห็นด้วยกับการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยใช้รัฐธรรมนูญฉบับประชาธิปไตย พ.ศ.2540 เป็นร่างหลักหรือไม่ เพื่อกระชับเวลาในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ 3.ในการทำประชามติครั้งเดียวกัน จะตั้งคำถาม เรื่องการคงไว้หรือยกเลิก MOU 43 และ MOU 44 เพื่อหาข้อยุติและลดความขัดแย้งภายในประเทศ 4.รัฐบาลชุดนี้จะร่วมมือกับพรรค ปชน.และทุกฝ่าย เร่งดำเนินการคดีฮั้ว สว.และคดีที่ดินเขากระโดง"
สำหรับปัญหางูเห่าในพรรคเพื่อไทย ที่พูดเองคือ นางนุชนาถ จารุวงษ์เสถียร สส.ศรีสะเกษ เขต 9 พรรคเพื่อไทย ที่มีข่าวออกจากไลน์กรุ๊ปของ สส.พรรค และถูกตั้งข้อสังเกตว่า เป็นงูเห่าหรือไม่ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ว่า เคยแสดงความคิดเห็นที่ไม่ถูกใจผู้ใหญ่ในพรรค ไม่ว่าจะเป็นข้อเสนอเกี่ยวกับพื้นที่ เรื่องเศรษฐกิจ ราคาสินค้าเกษตร รวมทั้งปัญหาชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน มีผู้ใหญ่ในพรรคถึงกับพูดกับ สส.คนอื่นในพรรคที่อยู่พื้นที่ใกล้เคียงกับพื้นที่ของตนว่า เป็นพวกหัวรุนแรง ไม่ต้องการให้ลงสมัคร สส. ในนามพรรคเพื่อไทยต่อในสมัยหน้า ให้ช่วยหาคนมาลงแทนหน่อย
“ในส่วนเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ตนเองรวมทั้ง สส.พรรคเพื่อไทย พยายามเสนอให้ฝ่ายบริหารดำเนินการให้แล้วเสร็จเพื่อให้เป็นไปตามนโยบายที่ได้สัญญาไว้ แต่คำตอบที่ได้รับกลับมาคือความเงียบครั้งแล้วครั้งเล่า ท่านต้องตอบคำถามประชาชนเองบ้าง ไม่ใช่ให้ สส. รับหน้าให้ไปวันๆ ว่างบประมาณเป็นแสนๆ ล้านที่ควรดำเนินการโครงการดังกล่าว ท่านเอาไปทำอะไร เชื่อเหลือเกินว่า สส.ในพรรคเพื่อไทยส่วนใหญ่อึดอัดใจกับสถานการณ์ภายในพรรคที่เกิดขึ้น”
ก่อนหน้านั้น นพ.ภูมินทร์ ลีธีระประเสริฐ สส.ศรีสะเกษ พรรคเพื่อไทย หนึ่งในผู้ที่ออกจากไลน์กรุ๊ป โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ว่า ตนเลือกที่จะใช้เอกสิทธิ์ สส.ไม่โหวตให้นายชัยเกษม นิติสิริ เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะ 1. พรรคเพื่อไทยบริหารประเทศมา 2 ปี นโยบายต่างๆ ที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยแถลงไว้แทบจะไม่สามารถปฏิบัติได้เป็นผล โดยเฉพาะราคาข้าว ราคามันสำปะหลัง ราคาวัว ตกต่ำเป็นอย่างมาก 2. จากเหตุการณ์คลิปอังเคิลหลุด และเหตุปะทะความรุนแรงตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะที่อำเภอกันทรลักษ์ นั่นหมายถึงรัฐบาลบริหารความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้ไม่ดีพอ มาถึงฟางเส้นสุดท้ายคือ คำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ให้นายกฯ มีความผิดส่งผลให้พ้นจากตำแหน่ง
“สิ่งเหล่านี้ทำให้ต้องกลับมาคิดอย่างจริงจังว่า ผมและรัฐบาลพรรคเพื่อไทยนั้นควรต้องมีส่วนแสดงความรับผิดชอบต่อพี่น้องประชาชน และควรจะต้องเสียสละไม่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ไม่เป็นนายกฯ ไม่ฉุดลากประเทศให้ตกต่ำเดือดร้อนเสียหายไปมากกว่านี้ เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง อันจะนำไปสู่การยุบสภา”
“ช่อ” พรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้า โพสต์ข้อความใน X ว่า “เห็นชื่อคนที่เพื่อไทยส่งมาเจรจากับพรรคประชาชน นึกถึงวันที่คุณหมอชลน่าน ศรีแก้ว อดีตหัวหน้าพรรค พูดง่ายๆ ว่า ‘มันเป็นเทคนิคหาเสียง’นั่นขนาดเป็นหัวหน้าพรรคนะ ไม่นับการใส่เงื่อนไขประเภท จะเอารัฐธรรมนูญ 40 มาใช้ก่อน ซึ่งไม่มีความชัดเจนว่าจะทำไปทำไม เงื่อนไขเราเรียบง่ายมาก คือเราต้องการประชามติร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ การใส่เรื่องการร่วมกันจัดการคดีฮั้ว สว. เขากระโดง ซึ่งเป็นหน้าที่รัฐบาลต้องทำ และควรทำมาก่อนหน้านี้ตั้งนานแล้ว”
“เจ๊เจี๊ยบ” อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล อดีต สส.บัญชีรายชื่อ กรรมการบริหารพรรคก้าวไกล โพสต์เฟซบุ๊กถึงกรณีการเจรจาระหว่างพรรค ปชน.และพรรคเพื่อไทยในการจัดตั้งรัฐบาล ว่า ไม่เลือกเพื่อไทยเด็ดขาด ถ้ายังเป็นกรรมการบริหารพรรค ดิฉันจะตัดสินใจบนฐานคิด 6 ข้อนี้ 1. เพื่อไทยเคยฉีก MOU อย่างหน้าด้าน ๆ มาแล้ว เพิ่งผ่านมาหมาด ๆ เป็นแผลสดที่ความเจ็บยังไม่จางหาย ทำลายโอกาสคนไทยที่ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งหวังเปลี่ยนขั้วการเมือง ทรยศประชาชน 2. เพื่อไทย มีกองทัพ IO ทำลายพรรค ปชน.อย่างต่อเนื่อง ดิฉันเคยส่งคนไปแฝงตัวได้ทราบด้านลึกทั้งหมด มีแต่ริษยาไม่เคยเห็นเป็นพี่น้อง 3. สว.เป็นของสีน้ำเงิน ไม่ใช่สีแดง มีโอกาสผ่านเรื่องประชามติแก้รัฐธรรมนูญมากกว่า
4. ภูมิใจไทยจะเป็น ‘รัฐบาลเสียงข้างน้อย’ ที่ควบคุมง่ายกว่า ถ้าไม่โหวตอะไรให้รัฐบาลภูมิใจไทยก็ล้มทันที ตรงข้ามกับเพื่อไทยที่มีเสียงมากกว่า ถ้าเบี้ยวก็ควบคุมยากกว่า มีโอกาสจะไม่ยุบสภาในกำหนด 4 เดือนสูงกว่า 5. เปลี่ยนแกนนำรัฐบาลมีผลดีกับสถานการณ์ชายแดนมากกว่าให้เป็นรัฐบาลเดิม 6. เพื่อไทยไม่ใช่พรรคการเมือง แต่ชัดเจนว่าเป็นเพียง "บริษัทจำกัด" ที่ทุกคนเป็นลูกจ้างทักษิณ และเรื่องเขากระโดงไม่ต้องจัดการอะไรเพราะมันเข้าสู่กระบวนการกฎหมายแล้ว
วันที่ 31 ส.ค. เวลา 13.55 น. แกนนำพรรคเพื่อไทย นำโดย “มท.อ้วน” ภูมิธรรม เวชยชัย “เลขาบอย” สรวงศ์ เทียนทอง เลขาธิการพรรค นายชูศักดิ์ ศิรินิล “สส.น้ำ” จิราพร สินธุไพร “รัฐมนตรีหนิม” จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รองหัวหน้าพรรค พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง หัวหน้าพรรคประชาชาติ “นายกชาย” เดชอิศม์ ขาวทอง เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ เข้าหารือกับ “หัวหน้าเท้ง” ที่พรรค ปชน.โดยมีมวลชนชูป้าย ตะโกนต่อต้านพรรคเพื่อไทย
ภายหลังการเข้าหารือกับแกนนำพรรคประชาชนประมาณ 1 ชั่วโมง นายภูมิธรรม ได้นำแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลมาแถลงข่าว พรรคร่วมรัฐบาล (หมายถึงประชาธิปัตย์ รวมไทยสร้างชาติ ประชาชาติ) ได้มานำเสนอและพูดคุยกับพรรค ปชน. ข้อเสนอของพรรค ปชน.เรารับทั้งหมด พร้อมที่จะปฏิบัติให้เป็นไปตามนั้น ได้คุยกันแล้วว่าหลายเรื่องที่เราเสนอเป็นเรื่องที่ควรปฏิบัติ เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม เราเสนอไม่ให้มีการไปแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมคดีต่างๆ ที่มีอยู่ทั้งหมด ก็ขอให้เป็นไปตามกระบวนการ พรรค ปชน.รับไปพิจารณา บอกกับเราว่ายังไม่ได้รับปาก หรือตัดสินใจว่าจะยกมือให้ใคร วันที่ 1 ก.ย. พรรคประชาชนจะมีการประชุมเป็นกระบวนการภายในของพรรค
“เราพูดกันว่า จะจัดตั้งรัฐบาลขึ้นมาวาระที่สำคัญที่สุดซึ่งเป็นวาระแห่งชาติ แก้ไขวิกฤติเรื่องรัฐธรรมนูญ อยากจะรีเซตการเมืองใหม่ให้เป็นการเมืองที่มีประสิทธิภาพมากกว่านี้ ส่วนเรื่องอื่นๆ ยังเป็นกระบวนการรายละเอียด ขออนุญาตไม่พูดไปมากกว่านี้ เพราะต้องพูดกันต่อทั้งสองฝ่าย เราพร้อมยุบสภาให้ไม่เกิน 4 เดือนตามที่เขาเสนอ แต่เร็วกว่านั้นเราก็ทำได้”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการหารือร่วมกันของพรรค ปชน.กับเพื่อไทย เพื่อขอเสียงโหวตหนุนนายชัยเกษม นิติสิริ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยให้เป็นนายกฯ ช่วงแรก ตัวแทนเพื่อไทยกล่าวขอโทษผู้บริหารพรรค ปชน. คาดว่า อาจจะเป็นการขอโทษเรื่องที่ขัดแย้งกันในอดีต แต่ในการหารือครั้งนี้ดูจะมีปัญหากว่าเมื่อเทียบกับตอนที่พรรค ปชน. หารือกับพรรคภูมิใจไทย เมื่อวันที่ 29 ส.ค. เนื่องจากครั้งนั้น เป็นการหารือร่วมกับพรรคภูมิใจไทยเพียงพรรคเดียว แต่ในครั้งนี้กลับมีพรรคร่วมรัฐบาลพรรคอื่นเข้ามาร่วมหารือด้วย จึงทำให้ยังไม่ได้ข้อสรุปที่แน่ชัด
ประกอบกับก่อนหน้านี้ พรรคเพื่อไทยก็ไม่เคยมีท่าทีที่จะรับเงื่อนไขของพรรค ปชน.เลย แถมยังเสนอให้ปรับเปลี่ยนด้วย เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้การเจรจาไม่คืบหน้า ซึ่งทางแกนนำพรรค ปชน.เองก็ไม่ได้มีความมั่นใจกับแกนนำของพรรคเพื่อไทย เพราะไม่ได้คุยกับนายชัยเกษมที่เป็นแคนดิเดตโดยตรง การพูดคุยจึงไม่ชัดเจน
พรรคเพื่อไทยได้อ้างว่า พรรคมีความสามารถในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และได้ให้คำแนะนำกับพรรค ปชน.ถึงการกระทำของพรรคภูมิใจไทยในอดีตว่า เคยเกิดอะไรขึ้นบ้าง เช่น เคยขวางการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาก่อน (ตอนไม่เอาแก้รายมาตรา) พร้อมย้ำว่า พรรคเพื่อไทยพร้อมรับข้อเสนอของพรรค หลังการหารือ แกนนำพรรคเพื่อไทยยังขอเวลาพูดคุยกันเองในพรรค ส่วนการประชุมของพรรค ปชน. ในวันที่ 1 ก.ย. จะเปิดโอกาสให้ สส.ได้แสดงความคิดเห็น ไม่มีการลงมติ เนื่องจากแกนนำของพรรคได้มีการตัดสินใจไว้ก่อนแล้ว แต่ยังไม่มีการระบุวันที่ชัดเจนในการเปิดเผยผลการตัดสินใจนั้น ให้กับ สส.ทราบเมื่อไร ขึ้นอยู่กับการที่ประธานสภา กำหนดวันเลือกนายกฯ ลงระเบียบวาระการประชุมสภา
ปิดท้ายที่คดีเขากระโดง ขณะนี้ดีเอสไอกำลังสอบนิติกรรมเกี่ยวกับการเป็นเจ้าของสนามฟุตบอล โดยเฉพาะช่วงการเปลี่ยนมือเจ้าของก่อนเลือกตั้งใหญ่ และดูการเก็บรายได้ อีกทั้งยังพบด้วยว่าบริเวณสนามแข่งรถ นอกพื้นที่ที่ดินการรถไฟเขากระโดง สร้างทับลำคลองสาธารณะ ทั้งที่กรมที่ดินได้ออกโฉนดกันคลองออกแล้วก็ตาม อันเป็นความผิดบุกรุก ยึดถือ ครอบครองที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน ฝ่ายท้องถิ่นคือจังหวัด อำเภอ และเทศบาล ต้องดำเนินการตามกฎหมายต่อไป ส่วนการจะรับเป็นคดีพิเศษ จะต้องให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เป็นผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษ
"ทีมข่าวการเมือง"