เกาหลีใต้ติดกับดักโครงสร้างอุตสาหกรรมหนัก ทางตันเป้า Net Zero
เกาหลีใต้ประกาศเป้าหมายลดการปล่อยคาร์บอน 40% ภายในปี 2030 และ Net Zero ภายในปี 2050 แต่โครงสร้างพลังงานยังพึ่งถ่านหินและก๊าซเป็นหลัก ขณะที่พลังงานหมุนเวียนมีเพียง 9% อุปสรรคจากระบบผูกขาด การเมืองผันผวน และอิทธิพลบรรษัทใหญ่ ทำให้การเปลี่ยนผ่านพลังงานสะอาดเต็มไปด้วยความล่าช้าและความขัดแย้ง
โรงไฟฟ้า Samcheok Blue
ขนาด 2.1 กิกะวัตต์ ซึ่งเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์เมื่อเดือนมกราคม 2025 ในจังหวัดคังวอน ทางชายฝั่งตะวันออกของเกาหลีใต้ กลายเป็นสัญลักษณ์ความขัดแย้งเชิงสภาพภูมิอากาศของประเทศ โรงไฟฟ้านี้คาดว่าจะปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ 13 ล้านตันต่อปี และอาจมีอายุการใช้งานยาวนานเกินปี 2050 ซึ่งเป็นปีที่รัฐบาลเกาหลีใต้ตั้งเป้าหมายบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน
The guardian รายงานว่า อึนบิน คัง นักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม หัวหน้ากลุ่ม Youth Climate Emergency Action ที่ย้ายถิ่นฐานมาอยู่ในพื้นที่เพื่อคัดค้านโรงไฟฟ้า ระบุว่า เกาหลีใต้ยังคงสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน ทั้งที่วิกฤตสภาพภูมิอากาศเรียกร้องให้ยุติการขยายเชื้อเพลิงฟอสซิลโดยทันที
กรณีของ Samcheok สะท้อนถึงความย้อนแย้งในเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 12 ของโลก ที่แม้มีชื่อเสียงด้านความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ทั้งเซมิคอนดักเตอร์และแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า แต่กลับถูกจัดให้อยู่ในกลุ่ม 10 ประเทศที่มีผลงานด้านสภาพภูมิอากาศเลวร้ายที่สุด
ทั้งนี้ เกาหลีใต้ประกาศเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050 พร้อมแผนลดการปล่อยคาร์บอน 40% จากระดับปี 2018 ภายในปี 2030 ทว่าในทางปฏิบัติ เชื้อเพลิงฟอสซิลยังครองสัดส่วนถึง 60% ของการผลิตไฟฟ้า ในขณะที่พลังงานหมุนเวียนมีเพียง 9% หรือประมาณหนึ่งในสี่ของค่าเฉลี่ยประเทศสมาชิก OECD ที่ 34%
การผูกขาดรัฐบั่นทอนการเปลี่ยนผ่าน
รายงานระบุว่า รากปัญหาของความล้มเหลวด้านสภาพภูมิอากาศคือ โครงสร้างพลังงานที่ผูกขาดโดยรัฐและการวางแผนแบบรวมศูนย์ บริษัท Korea Electric Power Corporation (Kepco) รัฐวิสาหกิจด้านพลังงาน ควบคุมระบบส่ง การจำหน่าย และการขายปลีก ขณะที่บริษัทลูกครองตลาดการผลิตไฟฟ้า เช่น Korea South-East Power, Korea Western Power และอีก 4 บริษัท ซึ่งดำเนินการโรงไฟฟ้าถ่านหิน ก๊าซ และนิวเคลียร์เกือบทั้งหมดในประเทศ
ผู้พัฒนาพลังงานหมุนเวียนกลับเผชิญกับอุปสรรคด้านกฎระเบียบ โดยก่อนหน้านี้นักพัฒนาฟาร์มกังหันลมต้องยื่นขออนุญาตมากถึง 28 ใบจากหลายกระทรวง ทำให้โครงการล่าช้าหลายปีและเพิ่มต้นทุนจนไม่คุ้มค่า แม้ต้นปี 2025 รัฐสภาจะผ่านกฎหมายใหม่เพื่อเร่งรัดขั้นตอน แต่กฎหมายจะมีผลบังคับใช้จริงในปี 2026
เครือข่ายสายส่งยังเป็นอีกอุปสรรค ความต้องการไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 98% ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา แต่การขยายโครงข่ายสายส่งเพิ่มขึ้นเพียง 26% ความพยายามขยายระบบนำไปสู่ความขัดแย้งรุนแรงกับชุมชน เช่น กรณีเมือง Miryang จังหวัดคยองซังใต้ ที่ประชาชนถูกบังคับขายที่เพื่อสร้างเสาส่งไฟฟ้า และเกิดการปะทะต่อเนื่องยาวนานถึง 6 ปี ปัจจุบันยังมีโครงการสายส่งราว 12 แห่งที่หยุดชะงัก
เดือนกุมภาพันธ์ 2025 รัฐสภาผ่าน “กฎหมายพิเศษสายส่งไฟฟ้า” เพื่อเร่งการขยายโครงข่าย แต่กลุ่มพลเมืองเตือนว่ากฎหมายนี้ยิ่งตอกย้ำการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานแบบบนลงล่างที่ดำเนินมากว่าหลายสิบปี และลดทอนกระบวนการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะรวมถึงการทบทวนสิ่งแวดล้อม
คิม จองจิน จาก Friends of the Earth เมืองดังจิน ซึ่งโครงการพลังงานสะอาดในพื้นที่เคยล่าช้ากว่า 10 ปีเพราะการต่อต้านของชุมชน ระบุว่า ความขัดแย้งเกิดซ้ำซากเพราะไฟฟ้าที่ผลิตไม่ได้ถูกใช้ในท้องถิ่น แต่กลับสร้างผลกระทบต่อชุมชนโดยไม่มีการรับฟังเสียง
โมเดลพลังงานไม่สอดคล้องกับยุคใหม่
ยุทธศาสตร์พลังงานเกาหลีใต้ยึดตาม “แผนหลักการผลิตและความต้องการไฟฟ้า” ซึ่งเป็นการคาดการณ์ 15 ปีที่ปรับทุก 2 ปี แต่กรอบนี้ที่ใช้มาตั้งแต่ทศวรรษ 1960 ยังคงเน้นการผลิตขนาดใหญ่รวมศูนย์ เหมาะกับถ่านหินและนิวเคลียร์ แต่ไม่สอดคล้องกับเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียนที่กระจายตัวและยืดหยุ่น
ความไม่แน่นอนทางการเมืองเพิ่มความเสี่ยงต่อการวางแผนระยะยาว โดยแต่ละรัฐบาล 5 ปีมักกลับลำทางนโยบาย เช่น ปี 2017 ประธานาธิบดีมุน แจอิน ประกาศเลิกพลังงานนิวเคลียร์ แต่ในอีก 5 ปีต่อมา ประธานาธิบดีคนถัดไป ยุน ซอกยอล ซึ่งปัจจุบันพ้นตำแหน่งไปแล้ว กลับนโยบายดังกล่าว ความผันผวนนี้ทำให้การวางแผนด้านพลังงานสะอาดไร้เสถียรภาพ
เมื่อรัสเซียรุกรานยูเครนและราคาพลังงานฟอสซิลพุ่งสูง Kepco ต้องแบกรับต้นทุนมหาศาล ปี 2022 เพียงปีเดียว ค่าใช้จ่ายด้าน LNG เพิ่มขึ้นอีก 22 ล้านล้านวอน (11.9 พันล้านปอนด์) แต่รัฐบาลยังตรึงค่าไฟต่ำด้วยเหตุผลทางการเมือง ส่งผลให้หนี้สะสมของ Kepco พุ่งสูงถึง 205 ล้านล้านวอน (111 พันล้านปอนด์) ภายในปี 2024
แม้เผชิญวิกฤติ การปฏิรูปเชิงโครงสร้างยังไม่เกิดขึ้น ระบบผูกขาดทำให้การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดถูกสกัดกั้น โดยผู้ผลิตพลังงานหมุนเวียนอิสระแทบไม่สามารถเข้าถึงตลาดที่ถูกครอบงำด้วยเชื้อเพลิงฟอสซิล
เศรษฐกิจคาร์บอนเข้มข้น
เศรษฐกิจเกาหลีใต้หลังสงครามพึ่งพาอุตสาหกรรมใช้พลังงานเข้มข้น เช่น เหล็ก ปิโตรเคมี ต่อเรือ และเซมิคอนดักเตอร์
ศาสตราจารย์ปาร์ค ซางอิน แห่งมหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล ระบุว่า การพึ่งพาเชิงโครงสร้างต่ออุตสาหกรรมหนักและเคมีทำให้การเปลี่ยนผ่านพลังงานเป็นเรื่องยากยิ่ง เพราะอุตสาหกรรมเหล่านี้ต้องการไฟฟ้าที่เสถียรและราคาถูก
กลุ่มแชบอลขนาดใหญ่ เช่น Posco, Samsung และ Hyundai มีอิทธิพลเหนือการกำหนดนโยบาย โครงสร้างตลาดไฟฟ้าเอื้อต่อเสถียรภาพทางอุตสาหกรรมมากกว่าการบรรเทาปัญหาสภาพภูมิอากาศ
เกาหลีใต้ยังเป็นผู้ให้เงินทุนและโครงสร้างพื้นฐานแก่โครงการฟอสซิลในต่างประเทศ อุตสาหกรรมต่อเรือของเกาหลีครองตลาดเรือขนส่ง LNG ทั่วโลก และสถาบันการเงินของรัฐยังสนับสนุนโครงการเชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น โครงการก๊าซ Coral Norte ในโมซัมบิก ที่คาดว่าจะปล่อยคาร์บอน 489 ล้านตันตลอดอายุการผลิต อีกทั้งเกาหลีใต้ยังเป็นผู้นำเข้าพลังงานฟอสซิลจากรัสเซียรายใหญ่ในช่วงที่หลายประเทศลดความสัมพันธ์
ดงแจ โอห์ หัวหน้าทีมก๊าซจาก Solutions for Our Climate (SFOC) ระบุว่า การสนับสนุนทางการเงินเหล่านี้ขัดแย้งกับเป้าหมายสภาพภูมิอากาศ และทำให้ข้อตกลงปารีสไร้ความหมาย
แม้แต่กองทุนบำนาญแห่งชาติ (NPS) หนึ่งในกองทุนบำนาญใหญ่ที่สุดของโลก ก็ยังลงทุนในถ่านหินและก๊าซ แม้ประกาศเลิกถ่านหินตั้งแต่ปี 2021 แต่เพิ่งกำหนดกลยุทธ์ถอนการลงทุนในปลายปี 2024 และจะเลื่อนการดำเนินการในสินทรัพย์ภายในประเทศจนถึงปี 2030
โครงการซื้อขายคาร์บอนเครดิต K-ETS
เปิดตัวในปี 2015 ถูกคาดหวังว่าจะทำให้ผู้ก่อมลพิษต้องจ่ายต้นทุน แต่ระบบการแจกโควตาฟรีให้บริษัทขนาดใหญ่กลับสร้างแรงจูงใจบิดเบี้ยว กลุ่ม Plan 1.5 เปิดเผยว่า บริษัทผู้ก่อมลพิษรายใหญ่ 10 แห่งทำกำไรกว่า 475,000 ล้านวอน (258 พันล้านปอนด์) จากการขายโควตาที่ไม่ได้ใช้ ระหว่างปี 2015-2022
คนรุ่นใหม่เดินหน้าฟ้องร้อง
ความตระหนักด้านวิกฤติสภาพภูมิอากาศทวีความรุนแรงควบคู่กับภัยพิบัติถี่ขึ้น ปี 2023 น้ำท่วมคร่าชีวิต 46 คน และทำให้หลายพันคนต้องอพยพ ปีถัดมาฝนตกหนักทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 26 คน ตามด้วยคลื่นความร้อนทำลายสถิติ เดือนมีนาคม 2025 ไฟป่าครั้งใหญ่เผาผลาญพื้นที่กว่า 48,000 เฮกตาร์ หรือประมาณ 80% ของพื้นที่กรุงโซล คร่าชีวิต 31 คน และทำลายบ้านเรือนนับพัน
ในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 กลุ่มเด็กนักเรียนยื่นฟ้องบริษัท Posco เพื่อหยุดแผนขยายเตาถลุงถ่านหินอายุหลายสิบปี ซึ่งจะยืดอายุการใช้งานออกไปอีก 15 ปี และปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์กว่า 137 ล้านตัน
นี่เป็นคดีแรกของโลกที่มุ่งเป้าไปยังโรงถลุงเหล็กแบบ blast furnace และเกิดขึ้นหลังศาลรัฐธรรมนูญเกาหลีใต้ตัดสินเมื่อสิงหาคม 2024 ว่านโยบายภูมิอากาศของรัฐบาลละเมิดสิทธิของคนรุ่นอนาคตเพราะไม่มีการกำหนดเป้าหมายทางกฎหมายสำหรับปี 2031-2050
โครงการใหม่ จุดชนวนความขัดแย้ง
เดือนมีนาคม 2025 ชาวบ้านและนักเคลื่อนไหวยื่นฟ้องรัฐบาลที่อนุมัติโครงการคลัสเตอร์เซมิคอนดักเตอร์ในเมืองยงอิน ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากการลงทุน 360 ล้านล้านวอนของ Samsung โดยมีความต้องการไฟฟ้าสูงถึง 10 กิกะวัตต์ และโรงไฟฟ้า LNG ใหม่ ซึ่งถูกวิจารณ์ว่าขัดต่อกฎระเบียบด้านสภาพภูมิอากาศและพันธะด้านความยั่งยืนของบริษัท
รัฐบาลยืนยัน เดินหน้าลดถ่านหิน
ข้อมูลสากลชี้ว่าการปล่อยคาร์บอนของเกาหลีใต้ถึงจุดสูงสุดในปี 2018 และเริ่มลดลง แม้จะมีการดีดกลับช่วงหลังโควิด รัฐบาลยังยืนยันว่ากำลังเดินหน้าลดการใช้ถ่านหิน โดยห้ามอนุมัติโรงไฟฟ้าใหม่ตั้งแต่ปี 2021 และทยอยปิดโรงเก่า พร้อมใช้เทคโนโลยีดักจับคาร์บอนและเชื้อเพลิงสะอาดเพื่อจัดการโรงไฟฟ้าที่เหลือ
อย่างไรก็ตาม นักวิชาการชี้ว่าแผนปัจจุบันยังไม่มีรายละเอียดชัดเจนเกี่ยวกับพลังงานหมุนเวียน ศาสตราจารย์ปาร์คเปิดเผยผลงานวิจัยโดยใช้แบบจำลอง Global Change Assessment Model พบว่า แผนปัจจุบันอาจพลาดเป้าลดการปล่อยคาร์บอนปี 2030 ราว 6-7%
งานวิจัยยังเสนอว่า หากเกาหลีใต้วางนโยบายทะเยอทะยานมากขึ้น เช่น ยุติถ่านหินภายในปี 2035 และขยายพลังงานลมนอกชายฝั่ง จะสามารถลดการปล่อยก๊าซจากภาคพลังงานได้ถึง 82% ภายในปี 2035
กระทรวงสิ่งแวดล้อมเกาหลีใต้ยืนยันว่าการคำนวณเป้าหมายลดคาร์บอนสอดคล้องกับหลักสากล โดยประเทศอย่างญี่ปุ่นและแคนาดาก็ใช้วิธีการคล้ายกัน และตั้งแต่ปี 2024 เกาหลีใต้ได้เริ่มใช้มาตรฐาน IPCC ปี 2006 ในการจัดทำสถิติแทนแนวทางปี 1996 ที่เคยใช้ก่อนหน้านี้