อดีตทูตไทยแฉเกมทรัมป์ ใช้ภาษีขู่โลกล่าโนเบลสันติภาพ แนะไทยเอาใจ
การกลับมาของโดนัลด์ ทรัมป์ สู่ทำเนียบขาวในวาระที่สอง ไม่ใช่เพียงการหวนคืนของผู้นำที่ขึ้นชื่อเรื่องบุคลิกตรงไปตรงมาและวิธีการที่แตกต่างจากบรรทัดฐานทางการเมืองสหรัฐฯ แต่ยังเป็นการประกาศชัดถึงการปรับโฉมยุทธศาสตร์ระหว่างประเทศครั้งใหญ่ของวอชิงตัน โดยเฉพาะ “ภาษี” ซึ่งจากเดิมถูกใช้เป็นเพียงมาตรการเศรษฐกิจ กลับถูกยกระดับเป็นอาวุธเชิงการทูตเต็มรูปแบบ เพื่อกดดันให้ประเทศต่าง ๆ ต้องทำตามเงื่อนไขของเขาอย่างไม่มีข้อยกเว้น
นายพิศาล มาณวพัฒน์ อดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐฯ กล่าวในเวทีสัมมนา “Trump’s Tariffs ไทยจะอยู่รอดได้อย่างไร” เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2568 ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า อัตราภาษีที่ไทยได้รับ เช่น 19% หรือ 20% ไม่ใช่ตัวเลขที่ “หยุดนิ่ง” แต่พร้อมจะเปลี่ยนได้ทันทีตามอารมณ์และเหตุผลของผู้นำเพียงคนเดียว ไม่ได้มีพื้นฐานจากข้อเสนอหรือการวิเคราะห์ของหน่วยงานราชการใด ความไม่แน่นอนนี้คือความเสี่ยงที่ทุกประเทศต้องเผชิญในยุคทรัมป์
เขาอธิบายว่า ในสมัยแรก ทรัมป์ใช้ภาษีเป็นเครื่องมือโจมตีจีน แต่ผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามที่ตั้งใจ กระทั่งในสมัยที่สอง เขาขยายการใช้มาตรการนี้ไปยัง “ทุกประเทศ” แม้กระทั่งบริษัทอเมริกันเอง เป้าหมายไม่เพียงเพื่อลดการขาดดุลการค้าและเพิ่มรายได้ให้รัฐหลายพันล้านดอลลาร์ แต่ยังบีบให้ฐานการผลิตย้ายกลับสหรัฐฯ ทำให้ภาษีกลายเป็นกลไกเศรษฐกิจที่พันธนาการอยู่กับการทูตอย่างแนบแน่นและทรงพลัง
ทรัมป์ใช้ภาษีเป็นหมากบีบโลก ล่าสันติภาพคว้าโนเบล
นายพิศาล มาณวพัฒน์ อดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐฯ อธิบายว่าในปัจจุบัน โดนัลด์ ทรัมป์ได้ขยายบทบาทของ “ภาษี” ให้หลุดพ้นจากขอบเขตการค้าระหว่างประเทศแบบดั้งเดิม และนำมาใช้เป็น “อาวุธทางการทูต” เพื่อบีบบังคับให้ประเทศต่างๆ ปฏิบัติตามความต้องการของตน จนกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่เชื่อมโยงโดยตรงกับยุทธศาสตร์การดำเนินนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ในยุคของเขา
ตัวอย่างเด่นที่นายพิศาลยกขึ้นมา คือกรณีพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา ในช่วงที่ทั้งสองประเทศเกิดเหตุปะทะกัน ทรัมป์ได้รับรายงานสถานการณ์ในตอนเช้า และใช้จังหวะนี้กดดันให้สองฝ่ายตกลงหยุดยิงระหว่างการประชุมที่กัวลาลัมเปอร์ โดยเสนอ “รางวัล” ให้ไทยด้วยการตรึงภาษีตอบโต้ไว้ที่ 19% จากเดิมซึ่งเคยอยู่ในช่วง 36-40% แต่เตือนว่าหากไทยเดินหมากผิด เช่น เกิดเหตุปะทะจนมีผู้เสียชีวิตเพิ่ม หรือกัมพูชาสามารถสร้างกระแสโน้มน้าวให้ทรัมป์เชื่อ ไทยก็อาจถูกปรับขึ้นภาษีกลับไปที่ 36% เพื่อบีบให้ยุติความขัดแย้ง และเปิดโอกาสให้ทรัมป์อ้างเครดิตในฐานะ “ผู้นำสันติภาพ”
นายพิศาลชี้ว่าเบื้องหลังยุทธศาสตร์นี้คือความทะเยอทะยานส่วนตัวของทรัมป์ที่จะคว้ารางวัลโนเบลสันติภาพ เนื่องจากไม่พอใจที่บารัค โอบามาได้รับรางวัลนี้ตั้งแต่ต้นวาระโดยแทบไม่มีผลงาน เขามองว่ารางวัลนี้เป็นเสมือน “สัญญาใจ” ที่คณะกรรมการมอบให้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เพื่อกระตุ้นให้ทำทุกอย่างให้รางวัลมีความชอบธรรม
เพื่อสร้างผลงานในเส้นทางนี้ ทรัมป์ได้พบปะกับคิม จอง อึน ผลักดันสันติภาพในตะวันออกกลาง พยายามแก้ไขวิกฤตยูเครน กดดันให้อิหร่านยุติขีดความสามารถด้านนิวเคลียร์ และแทรกแซงข้อพิพาทปากีสถาน-อินเดีย จนอินเดียไม่พอใจแต่ไม่ตอบโต้เพราะเกรงผลกระทบจากมาตรการภาษี
นอกเหนือจากกรณีไทย-กัมพูชา นายพิศาลยังระบุว่ามีตัวอย่างมากมายของการใช้ภาษีเป็นเครื่องมือบีบคั้น เช่น แคนาดา ที่แม้เป็นพันธมิตรใกล้ชิดก็ถูกตั้งภาษี 35% เพื่อบังคับให้นายกรัฐมนตรีถอนการรับรองรัฐปาเลสไตน์ อินเดียถูกโจมตีว่าเป็น “เศรษฐกิจที่ตายแล้ว” หลังละเมิดมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียและขายน้ำมันต่อเพื่อทำกำไร บราซิลถูกกดดันทางการค้าหลังดำเนินคดีกับอดีตประธานาธิบดีโบลโซนาโรซึ่งมีแนวทางการเมืองคล้ายกับทรัมป์ สวิตเซอร์แลนด์ถูกปรับภาษีจาก 31% เป็น 39% เพราะบริษัทยาไม่ยอมลดราคาหรือย้ายฐานการผลิตเข้าสหรัฐฯ ขณะที่เอลซัลวาดอร์กลับได้ลดภาษีเหลือเพียง 9% เนื่องจากยอมรับตัวผู้อพยพที่สหรัฐฯ ผลักดันกลับทุกกรณี
ในบรรดาประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก นายพิศาลย้ำว่า “จีน” เป็นเพียงชาติเดียวที่สามารถต่อรองกับทรัมป์ได้จริง เพราะมีมาตรการตอบโต้และครอบครองแร่หายากซึ่งเป็นทรัพยากรยุทธศาสตร์ที่สหรัฐฯ ต้องการอย่างยิ่ง และปัจจัยนี้ยังเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้สหรัฐฯ จับตาเมียนมาร์ หลังมีข่าวการค้นพบแหล่งแร่หายากในประเทศนั้นด้วย
ทุกประเทศอวยทรัมป์แล้วได้ดี แนะไทยทำบ้าง
สำหรับวิธีแก้เกมทรัมป์ นายพิศาล วิเคราะห์ว่า หลายประเทศทั่วโลกเลือก “อวย” หรือแสดงการสนับสนุนโดนัลด์ ทรัมป์อย่างเปิดเผย เพื่อรักษาผลประโยชน์ทางการค้าและการเมืองของตน ตัวอย่างชัดเจนคือ เลขาธิการนาโต้ ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเนเธอร์แลนด์ ออกมาสนับสนุนอย่างชัดเจนเพื่อคงความผูกพันของสหรัฐฯ กับนาโต้ พร้อมผลักดันให้ประเทศสมาชิกเพิ่มงบกลาโหมเป็น 5% ของ GDP
ขณะเดียวกัน เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ใช้เพียงข้อความสั้น ๆ บนโลกออนไลน์สนับสนุนการมอบรางวัลโนเบลแก่ทรัมป์ ผู้นำปากีสถานประกาศต่อสาธารณะว่าทรัมป์สมควรได้รับรางวัลหลังช่วยยุติความขัดแย้งกับอินเดีย ขณะที่ผู้เจรจาระดับสูงของกัมพูชาออกแถลงการณ์เสนอชื่อทรัมป์เข้าชิงรางวัลสันติภาพอย่างเป็นทางการ
จากแนวโน้มดังกล่าว นายพิศาลเห็นว่า ไทยควรใช้กลยุทธ์เชิงรุกเพื่อ “แซงหน้ากัมพูชา” และต้องลงมือทันที “ภายในคืนนี้หรือพรุ่งนี้” เขาเสนอให้รัฐบาลเร่งยกร่างจดหมายถึงประธานคณะกรรมการรางวัลโนเบลของนอร์เวย์ โดยในจดหมายควรระบุชัดเจนว่า ไทยเสนอชื่อทรัมป์เพราะกรณีพิพาทที่ผ่านมาได้พิสูจน์ว่ามีฝ่ายหนึ่งละเมิดอนุสัญญาเจนีวาและอนุสัญญาออตตาวา ขณะที่ไทยเป็น “เหยื่อ” ของการละเมิดทั้งสองอนุสัญญา จึงควรแนบหลักฐานภาพถ่ายและผลตรวจพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์เพื่อยืนยันบทบาทของทรัมป์ในการหยุดยั้งการกระทำที่ไม่เคารพกติกาสากล
ข้อเสนอของเขามีสองเป้าหมายสำคัญ เป้าหมายแรก คือใช้ช่องทางนอร์เวย์เผยแพร่ข้อเท็จจริงที่ถูกต้องให้โลกได้รับรู้ เป้าหมายที่สอง คือ “กระซิบ” ให้นอร์เวย์รับทราบอย่างไม่เป็นทางการว่า หากกัมพูชาส่งจดหมายสนับสนุน ควรลดน้ำหนักลง เพราะเป็นประเทศที่เคยละเมิดอนุสัญญาเจนีวาและอนุสัญญาออตตาวา รวมถึงใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลและโจมตีเป้าหมายพลเรือน เช่น โรงพยาบาล ซึ่งเป็นการด้อยค่าจดหมายของกัมพูชาไปในตัว
นอกจากการส่งจดหมาย นายพิศาลยังเสนอให้รัฐบาลดำเนินการขอพระราชวินิจฉัย เพื่อโปรดเกล้าฯ หนังสือเชิญทรัมป์มาเยือนไทยในฐานะการประชุมสุดยอด (State Summit) การใช้พระราชสาส์นเชิญจะมีน้ำหนักมากในสายตาทรัมป์มากกว่าการเชิญโดยนายกรัฐมนตรีเพียงลำพัง เขามองว่าหากทรัมป์ได้รับทราบว่าไทยมีเหตุผลในการเสนอชื่อเขามากกว่ากัมพูชา โอกาสที่เขาจะแวะมาเยือนไทยก่อนหรือหลังการประชุมที่กัวลาลัมเปอร์ในเดือนตุลาคมก็มีสูง
เพื่อย้ำประสิทธิภาพของแนวทางนี้ นายพิศาลยกตัวอย่างกรณี นายกรัฐมนตรีอังกฤษซึ่งเคยใช้ “ไพ่เด็ด” โดยนำพระราชสาส์นจากพระเจ้าชาลส์มามอบถึงทำเนียบขาว ซึ่งสร้างความประทับใจแก่ทรัมป์อย่างมาก เนื่องจากเขาให้ความสำคัญกับเกียรติและสถานะ
นายพิศาลทิ้งท้ายว่า หากรัฐบาลเห็นด้วยกับแนวทางทั้งหมด ควรลงมืออย่างรวดเร็ว พร้อมสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ได้ใจทรัมป์ไปอีกสามปีครึ่ง
ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจไทย ใช้โอกาสจากวิกฤต
สำหรับกลยุทธ์รับมือผลกระทบทางเศรษฐกิจจากภาษีทรัมป์ นายพิศาล เห็นว่ารัฐบาลไทยต้องมองไกลกว่ามาตรการเยียวยาเพียงอย่างเดียว และใช้วิกฤตนี้เป็นจังหวะปรับโครงสร้างเศรษฐกิจครั้งใหญ่ เพื่อสร้างความยั่งยืนและเพิ่มอำนาจต่อรองของประเทศ
นายพิศาล ย้ำว่า“การได้ใจทรัมป์” เป็นหัวใจสำคัญ โดยได้เสนอแนวทางนี้ตั้งแต่วันที่ทรัมป์ชนะเลือกตั้งครั้งแรกว่า รางวัลโนเบลสันติภาพคือกุญแจสำคัญ เพราะทรัมป์พยายามสร้างผลงานด้านสันติภาพกับเกาหลีเหนือถึง 3 ครั้ง ไทยมีความสัมพันธ์อันดีกับเกาหลีเหนือ จึงควรใช้จุดแข็งนี้เป็นข้อได้เปรียบ แม้ความพยายามประสานผ่านนายอเล็กซ์ หว่อง มือขวาของทรัมป์ในสมัยแรกจะไม่สำเร็จ แต่เวลายังเอื้อ เพราะทรัมป์จะมาเยือนภูมิภาคในเดือนตุลาคม หากไทยสามารถให้คิม จอง อึน ตกลงพบทรัมป์ “เฉพาะที่ประเทศไทย” จะสร้างแต้มต่อทางการทูตและช่วยตอบโจทย์เป้าหมายโนเบลของทรัมป์
ในมิติการค้า นายพิศาล ระบุว่าภาครัฐต้องวิเคราะห์อย่างละเอียดว่าสินค้าใดที่ไทยผลิตได้เองโดยไม่พึ่งทุนสีเทา และสามารถขยายส่วนแบ่งตลาดสหรัฐฯ ได้ โดยเฉพาะสินค้าที่คู่แข่งถูกเก็บภาษีสูง เช่น เข็มฉีดยาใช้แล้วทิ้งที่จีนครองตลาดอันดับหนึ่ง ขณะที่ไทยมีส่วนแบ่งไม่ถึง 1%
ในด้านนโยบายการคลัง นายพิศาล เตือนว่ารัฐบาลไม่ควรใช้การแจกเงินอย่างเดียว แต่ต้องใช้จังหวะนี้ปรับโครงสร้างภาคอุตสาหกรรมและภาคเกษตรให้มุ่งสู่อนาคต เช่น เกษตรอินทรีย์และสมาร์ทฟาร์มเมอร์ ลดการปลูกพืชที่ตลาดถดถอยอย่างข้าวโพด มันสำปะหลัง หรือข้าวบางชนิด พร้อมสนับสนุนให้เกษตรกรเปลี่ยนไปผลิตสินค้าที่ตลาดโลกต้องการและสร้างมูลค่าสูง
การลดการพึ่งพาจีนเป็นอีกประเด็นที่นายพิศาลเน้น เพราะการพึ่งพาจีนมากเกินไปทำให้ไทยเสียอำนาจต่อรอง ตัวอย่างเช่น ทุเรียนไทยที่ถูกจีนซื้อทั้งสวน หรือพื้นที่ท่องเที่ยวที่ชุมชนกังวลว่าจะถูกทุนจีนครอบงำ ไทยจึงต้องสร้างโครงสร้างเศรษฐกิจที่ไม่ถูกใช้กดดันทางการทูต ขณะเดียวกันต้องรักษาความสัมพันธ์เชิงมิตรบนพื้นฐานการให้เกียรติ
ในด้านการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ เขาเสนอให้ BOI เลิกใช้ตัวชี้วัดจากมูลค่ารวมโครงการลงทุน และเปลี่ยนมาใช้ KPI ที่วัดจากการลงทุนในอุตสาหกรรมอนาคต แม้ยอดรวมจะลดลงก็ไม่เป็นปัญหา หากเป็นการลงทุนที่ตรงกับทิศทางเศรษฐกิจระยะยาว เช่น การลงทุนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีมูลค่าสูง หรืออุตสาหกรรม S-Curve
ในด้านการค้าเสรี เขาวิจารณ์ว่ารัฐบาลยังไม่เข้าร่วม CPTPP ซึ่งเป็นตลาดศักยภาพสูงกว่า 12 ประเทศ ขณะที่คู่แข่งอย่างเวียดนามได้ประโยชน์แล้ว พร้อมเสนอให้ทบทวน FTA เดิมกับ 24 ประเทศ เพื่อใช้สิทธิให้เต็มที่ เช่น โควตาส่งออกกล้วยหอมปลอดภาษีไปญี่ปุ่น 8,000 ตันที่ได้สิทธิมากว่า 20 ปีแต่ยังใช้ไม่ครบ
นอกจากนี้ นายพิศาลยังย้ำว่าแอฟริกาเป็นตลาดใหญ่ที่ไทยยังไม่มีแผนรุกอย่างจริงจัง ทั้งที่มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ และอินเดียซึ่งรักไทยมานานกลับรู้สึกถูกมองข้าม พร้อมเตือนว่าบางสุภาษิตไทยที่มีนัยเชิงลบต่อชาวอินเดีย หากถูกเปิดเผยจะกระทบความสัมพันธ์โดยไม่จำเป็น
นายพิศาลทิ้งท้ายว่า ภาษีในยุคทรัมป์ไม่ใช่เพียงมาตรการเศรษฐกิจ แต่เป็นเครื่องมือเชื่อมโยงการค้า การเมืองระหว่างประเทศ และแรงจูงใจส่วนตัวของผู้นำสหรัฐฯ ไทยจึงต้องวางยุทธศาสตร์บูรณาการการทูตเชิงรุก การค้า และการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ เพื่อไม่เพียง “อยู่รอด” แต่ยังใช้โอกาสนี้สร้างอำนาจต่อรองและความได้เปรียบในภูมิรัฐศาสตร์โลกที่ผันผวน