ศาลรัฐธรรมนูญ คือความหวัง…สร้างพลังความสว่าง ล้างคนโกง
การตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ ในปี 2544 คดี “ซุกหุ้น” ของ อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร ว่าเป็นการ “บกพร่องโดยสุจริต” เกิดจาก “การจัดการผิดพลาด” ไม่ใช่ “จงใจปกปิด” เป็นบทเรียนที่ศาลรัฐธรรมนูญและประชาชนพึงเข้าใจและจดจำ
…เป็นบทเรียนว่า ครอบครัว “ชินวัตร” นำโดย อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร มีพฤติกรรมทุจริต คดโกง โกหก ซ้ำซาก “คำพูดหลอกศาล” อย่างไม่เกรงกลัวกฎหมายใดๆ หลังรอดคดี “ซุกหุ้น” ที่โอนหุ้นให้ คนรถ คนใช้ อย่าง บุญชู เหรียญประดับ นายชัยรัตน์ เชียงพฤกษ์ น.ส.ดวงตา. วงศ์ภักดี และนายวิชัย ช่างเหล็ก ถือหุ้นแทน ก็ซุกหุ้นในชื่อ พานทองแท้ พินทองทา ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และ กองทุนวินมาร์ค อย่างไม่เกรงกลัวกฎหมายใดๆ
ต้องมีหลักฐานที่เป็นเอกสาร อ้างอิงได้ โกหกไม่ได้ เช่น เรื่องหุ้นและวอแรนท์ของธนาคารทหารไทย ซึ่ง แม่พจมาน ซื้อมามูลค่า 1,500 ล้านบาท กลับโอนให้ลูกพานทองแท้ 4,500 ล้านบาท ภายในประมาณเพียง 3 เดือน ปลอมหนี้ 3,000 ล้านบาท เพื่อเป็นทางผ่านการคืนปันผลหุ้นชินฯ ที่พ่อแม่โอนให้ลูกๆไว้ กลับมาให้พ่อแม่ เป็นหลักฐานมัดแน่นการ “ซุกหุ้น” ชินฯ ผิดรัฐธรรมนูญ 2540 ที่ห้ามรัฐมนตรีเป็นเจ้าของกิจการสัมปทานภาครัฐ เช่น ชินคอร์ปฯ
…เป็น “บทเรียนสำหรับศาลรัฐธรรมนูญ” ด้วยว่า เป็นการยอมรับ “คำกล่าว” ที่บิดเบือน โกหก เฉไฉ ทั้งที่ฝืนความจริงที่เห็นชัดว่า คนรถ คนใช้ จะถือหุ้นชินฯ มูลค่าคนละเป็นพันๆล้านบาท รวมกว่า หมื่นล้านบาทได้อย่างไร ? ถ้าไม่ใช่การ “จงใจจัดการ” การตัดสินที่เชื่อ “คำพูด” มากกว่า “หลักฐาน” ที่เชื่อถือได้ พร้อมเหตุผลนั้น นำไปสู่การครองอำนาจรัฐ และ โกงชาติ จนเมื่อมีหลักฐานจาก คตส. ที่อดีตนายกฯทักษิณ ดิ้นไม่หลุด จึงได้ตัดสินว่า “ซุกหุ้นจริง” ทุจริตจริง ต้องยึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านบาทในปี 2553… การตัดสินในครั้งนั้น ได้นำมาซึ่งความมัวหมอง ขาดความสว่างแห่งนิติธรรม ประชาชนต้องออกมาประท้วงขับไล่รัฐบาลทั่วแผ่นดิน กระทบกระเทือนต่อ เศรษฐกิจ สังคม เกียรติยศ และ ศักดิ์ศรีของประเทศไทยเป็นอย่างมาก
แล้ว “คดีคลิปเสียง” ของ นายกฯ แพทองธาร ชินวัตร นายกฯวัยเยาว์ ไร้ประสบการณ์ แต่พูดจาฉาดฉาน แบบฝึกซ้อมมาดี จากพ่อทักษิณ และ ทีมงาน จะทำให้ศาลรัฐธรรมนูญ หลงเชื่อ โดยมองข้ามหลักฐานความจริงมากมายอีกหรือไม่ ?
ด้วยความเคารพต่อสถาบันศาล ประชาชนขอหวังที่จะเห็นพลังความสว่างกลับมาฉายเจิดจ้าในแผ่นดินนี้ต่อไป
โดยคำโต้แย้งหลักๆ ของ นายกฯแพทองธาร แบ่งได้เป็น 3 เรื่อง
1. เป็นเพียง “เทคนิคการเจรจา” …เชื่อถือได้จริงหรือ ?
นายกฯ แพทองธารได้กล่าวว่า “การกล่าวถึงแม่ทัพภาคที่ 2 ไม่ได้มีเจตนาแสดงว่า เป็นฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล แต่เป็นเทคนิคการเจรจาเพื่อแยก ‘ปัญหา’ ออกจาก ‘ตัวบุคคล’ ” ซึ่งเป็นหลักการ Principled Negotiation นั้น “เชื่อถือได้จริงหรือ ?” หรือ เป็นการกล่าวอ้างแก้ตัวน้ำขุ่นๆ เพราะ ตามหลักการ Principled Negotiation จริงๆนั้น การแยก ‘ปัญหา’ ออกจาก ‘ตัวบุคคล’ ในการ “เจรจา” นั้น ย่อมไม่จำเป็นต้อง กล่าว “ด้อยค่า” หรือ “กดลงต่ำ” แต่อย่างใด เพราะ นั่นย่อมทำให้เสียอำนาจในการต่อรอง โดยอาจจะกล่าวทำนองว่า “ท่านแม่ทัพภาคที่ 2 ก็ทำตามหน้าที่ของเขา” ไม่ใช่บอกว่า “พวกแม่ทัพภาคสอง เป็นคนของฝั่งตรงข้ามหมดเลย”หรือ “เพราะตอนนี้ทางนั้นเขาอยากจะดูเท่ เขาก็จะพูดอะไรออกมาที่มันไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ” ทั้งที่ สิ่งที่แม่ทัพภาค 2 ได้สื่อสารตามที่ปรากฏต่อสาธารณะในช่วงวันที่ 10 มิถุนายน 2568 คือ “หลังจากการเจรจาและทหารกัมพูชาได้ปรับกำลังออกจากพื้นที่ที่รุกล้ำอธิปไตยของไทย(ในพื้นที่บริเวณช่องบก)รวมถึงถมคูเลทให้กลับสู่สภาพเดิมทำให้สถานการณ์ตึงเครียดลดลงไปมาก” และ“มาตรการยกระดับตัดน้ำ ตัดไฟ และการปิดด่าน 100% จะต้องรอผลการเจรจาในวันที่ 14 มิถุนายนนี้ แต่หากมีการปะทะกันเกิดขึ้นอีกครั้งในระหว่างนี้ จะดำเนินการมาตรการดังกล่าวทันที”
การอ้างว่า เพื่อแยก “บุคคล” ออกจาก “ปัญหา” แต่เป็นการ “ด้อยค่า” แม่ทัพที่ปกป้องอธิปไตยของประเทศเช่นนี้ ย่อมไม่เป็นแบบ Principled Negotiation แต่อย่างใด เพราะ เมื่อ แสดงความไม่เป็นหนึ่งเดียว ของนายกฯ กับ แม่ทัพผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา ย่อมทำให้ประเทศอริราชศัตรูได้ใจ ถือโอกาสรุกรานไทยอีกได้
คนอย่างฮุนเซนนั้น หากประเทศไทยมีผู้นำเข้มแข็ง อย่างสมัยพลเอก ประยุทธ จันทร์โอชา ปัญหาการรุกล้ำพื้นที่อธิปไตยไทยก็ไม่มีแต่อย่างใด แต่พอเป็นสมัยนายกฯแพทองธาร ชินวัตร กลับมีการแอบรุกล้ำพื้นที่บริเวณณช่องบก มีการขุดคูเลทเปลี่ยนแปลงภูมิประเทศและอาจกระทบต่อแนวสันปันน้ำ “เป็นหลักฐานที่เกิดขึ้นแล้วก่อนคลิปเสียง” และเมื่อฮุนเซนเห็นผู้นำรัฐบาลกับกองทัพแสดงความไม่เป็นหนึ่งเดียว ก็กลับได้ใจ เริ่มรุกรานไทย ยิ่งจรวดใส่พื้นที่พลเมืองไทย รวมถึงโรงพยาบาลด้วย เป็นเหตุให้มีคนไทยเสียชีวิตถึงกว่า 30 คน ในจำนวนนั้น เป็นทหาร 15 คน “เป็นหลักฐานที่เกิดขึ้นชัดเจนตามต่อมา”
2. นายกฯแพทองธาร ยังไม่ได้ประโยชน์ส่วนตัว…เชื่อถือได้จริงหรือ ?
นายกฯแพทองธาร ได้ชี้แจงว่า “ไม่ได้นำผลประโยชน์ของชาติไปแลกเปลี่ยน การพูดคุยครั้งนี้ ก็เพื่อลดความตึงเครียดบริเวณชายแดน อีกทั้งเนื้อหาก็ได้นำมาแจ้งต่อที่ประชุมฝ่ายความมั่นคงในวันรุ่งขึ้น จึงไม่ได้เป็นการแอบเจรจาเพื่อประโยชน์ส่วนตน” นั้น “เชื่อถือได้จริงหรือ ?”
เพราะ ตามข่าว คลิปเสียงซึ่งบันทึกการสนทนาตามคดีนั้นในวันที่ 15 มิถุนายน 2568 นั้นถูกปล่อยโดยฝ่ายฮุนเซน เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2568 สู่สาธารณะ แต่ปรากฏว่า ในวันที่ 20 มิถุนายน 2568 จึงมีข่าวนายกฯแพทองธาร เดินทางไปไหว้ ขอโทษแม่ทัพภาคที่ 2 หากเป็นการได้นำมาแจ้งต่อที่ประชุมฝ่ายความมั่นคงแล้วจริงในวันรุ่งขึ้น ก็น่าจะเป็นวันที่ 16 มิถุนายน 2568 ก็ขัดกับการยกเลิกการประชุม สมช. หรือ การเปลี่ยนเป็นชุดทีมไทยแลนด์แทน ก็ย้อนแย้งกัน เพราะ ชุดทีมไทยแลนด์ไม่ได้มีอำนาจเหมือน สมช. โดยเฉพาะเรื่องการเปิดปิดด่านที่คุยกัน และหากมีการเปิดเผยกับทีมงานด้านความมั่นคงตั้งแต่วันที่ 16 หลังโทรศัพท์แล้ว ก็ไม่น่าจะต้องเดินทางไปพบแม่ทัพภาค 2 ในวันที่ 20 เพื่อขอโทษอีกแต่อย่างใด เพราะ การเจรจาส่วนตัวนั้น ได้มีการกล่าวพาดพิง “ด้อยค่า” แม่ทัพภาคที่ 2 ไว้อย่างไร เป็นเทคนิคการเจรจาอย่างไร ก็ควรจะได้ทำความกระจ่างกันอย่างเปิดเผยไปแล้วอย่างที่พยายามชี้แจง จะได้รักษาความไว้วางใจกันระหว่างนายกรัฐมนตรี กับแม่ทัพในพื้นที่ว่า ไม่มีการลบหลู่กันลับหลัง หรือ อาจกล่าวได้ว่า “แทงข้างหลัง” กันให้คลางแคลงใจกันอีก และที่สำคัญคือ หากคลิปนี้ ยังเป็นความลับ ไม่ถูกฝ่ายฮุนเซนเปิดโปง ทุกคนจะได้รับทราบการสนทนานี้หรือไม่ ? จะมีการไปเปิดเผย และ ขอโทษแม่ทัพภาค 2 หรือไม่ ? และ ท่าทีในการปฏิบัติต่อฝ่ายแม่ทัพภาค 2 จะเป็นอย่างไร ? ก็ไม่อาจทราบได้
ส่วนที่ว่า “ไม่ได้เป็นการแอบเจรจาเพื่อประโยชน์ส่วนตน” นั้น ก็ขัดกับการพูดคุยแบบ อา-หลาน ตามหลักฐานชัดเจนที่ว่า "ไม่อยากให้ uncle (อาฮุนเซน) ไปฟังคนที่เป็นฝั่งตรงข้ามกับเรา เพราะว่าพอไปฟังฝั่งตรงข้าม อย่างพวกแม่ทัพภาคสอง เป็นคนของฝั่งตรงข้ามหมดเลย ซึ่งพอเป็นฝั่งนั้นก็ไม่อยากให้ท่านรู้สึกไม่ชอบใจหรือโกรธ” ความพยายามเอาใจส่วนตัว โดยยอม “ด้อยค่า” ฝ่ายแม่ทัพภาค 2 ซึ่งได้สื่อสารจนฮุนเซนได้ฟังได้ยินนั้น ก็เพื่อคืนความสัมพันธ์ส่วนตัวมิใช่หรือ ? และ ยังสำทับด้วยคำพูดของ นายกฯแพทองธารในคลิปอีกว่า “เพราะจริง ๆ แล้วไม่ใช่ความตั้งใจของเราเลยค่ะ” ความสัมพันธ์ระหว่างฮุนเซน และครอบครัวชินวัตรนั้น นายกฯแพทองธาร ย่อมรู้อยู่แก่ใจ และเป็นความสัมพันธ์ซึ่งเป็นที่ประจักษ์ต่อสังคมมายาวนาน เพราะ เมื่ออดีตนายกฯ ทักษิณหนีความผิดกฎหมายของประเทศไทย ก็หนีไปพักอยู่ที่บ้านฮุนเซน อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์หนีความผิด ก็หนีไปพักอยู่ที่บ้านฮุนเซน รวมทั้งเมื่อถูกยึดพาสปอร์ต กัมพูชา ภายใต้การนำของฮุนเซนก็ออกพาสปอร์ตกัมพูชาให้ ทำให้สามารถเดินทางไปประเทศต่างๆได้อย่างเสรี ดังหลักฐานที่ฮุนเซนนั้น ได้ช่วยเปิดเผยยืนยันความจริงตามข่าวที่ปรากฏต่อสาธารณะมาตลอด การรักษาความสัมพันธ์ที่ลึกซึ่งระหว่างฮุนเซนกับครอบครัวชินวัตร จึงเป็น “ประโยชน์ส่วนตน” ที่ชัดเจน
ดังที่ ฮุนเซนก็ได้ยืนยันเพิ่มอีกตามข่าววันที่ 27 มิถุนายน 2568 อีกว่า “ตนไม่ได้เป็นหนี้บุญคุณประเทศไทย” แต่ “ครอบครัวของนายทักษิณเป็นหนี้บุญคุณต่อเขา” และ ฮุน เซน ยังได้เตือนนายทักษิณ ชินวัตร และครอบครัว โดยขู่ว่า ถ้าคุณ (ซึ่งหมายถึงนายทักษิณ) ทำตัวเย่อหยิ่ง ตนจะเปิดเผยทุกอย่างที่นายทักษิณเคยบอก รวมทั้งการดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ด้วย ในเรื่องความเสี่ยงของความลับของทักษิณและครอบครัวในมือของฮุนเซนนั้น นายกฯแพทองธารย่อมรู้อยู่แก่ใจ
หากครอบครัวชินวัตร ไม่ได้ติดหนี้บุญคุณฮุนเซนอย่างที่กล่าวอ้าง ก็น่าจะได้ออกมาโต้แย้งอย่างเปิดเผยแล้ว แต่เท่าที่อดีตนายกฯทักษิณตอบ ก็เป็นเพียงการพูดในเวทีไทยว่า “อาจไปเหยียบตาปลา” ฮุนเซนกระมัง เท่านั้น แสดงว่า น่าจะมีบุญคุณกันจริง และ ช่วงหนีความผิดตามกฎหมายไทยไปพักที่บ้านฮุนเซน ทั้งกรณีพี่ทักษิณ-น้องยิ่งลักษณ์ ก็คงได้มีการพูดคุยเรื่องคับข้องใจกันมากมายจริง เมื่อเป็นเช่นนั้น การที่นายกฯแพทองธารมีการโทรศัพท์ส่วนตัวกับฮุนเซน ด้วยเนื้อหา เอาอกเอาใจให้หายโกรธ ก็เพื่อประโยชน์ส่วนตน ในการปกป้องคุ้มครองอดีตนายกฯทักษิณ ผู้เป็นบิดา จากการข่มขู่ของฮุนเซนดังกล่าวใช่หรือไม่?
3. ประเทศก็ไม่เสียอะไร…เชื่อถือได้จริงหรือ ?
นายกฯแพทองธาร ได้ชี้แจงว่า “ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อปกป้องประโยชน์ของประเทศศชาติและประชาชน ตามที่ได้ถวายสัตย์ปฏิญาณไว้” ดังที่เคยบอกว่า “ดิฉันก็ไม่ได้อะไร ประเทศก็ไม่เสียอะไร” “เชื่อถือได้จริงหรือ ?”
การวินิจฉัยว่า “ประเทศก็ไม่เสียอะไร” จากการพูดคุยกันตามคลิปเสียงดังกล่าวนั้น ก็น่าจะวัดได้จากทั้ง การที่ฮุนเซน ได้โพสต์ในเฟสบุ๊คเป็นข่าวแพร่หลาย ตั้งแต่วันที่ 10 มิถุนายน เป็นภาพเอกสารมติคณะรัฐมนตรีรัฐบาลกัมพูชาในการแต่งตั้งคณะกรรมการจัดทำเอกสารยื่นฟ้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ในคดีพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย โดยที่ในคลิปเสียงนั้น นายกฯแพทองธาร ไม่ได้เจรจาต่อรองอย่างเป็น Principled Negotiation ในเรื่องกระบวนการฟ้อง ICJ หรือ ศาลโลกแต่อย่างใด ซึ่งเรื่องนี้ เป็นเรื่องที่ไทยเสียผลประโยชน์ได้ ดังกรณี ปราสาทเขาพระวิหารที่ศาลโลกตัดสินให้กัมพูชาได้เปรียบไทย อย่างที่ไทยรู้สึกคับข้องใจว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมเพียงพอ
โดยการได้แสดงความอ่อนแอ อ่อนน้อม ในสภาวะที่มีความตึงเครียดขัดแย้งชายแดน และ การแสดงให้เห็นจุดอ่อนของไทย ที่การยืนหยัดปกป้องอธิปไตยไทยของแม่ทัพภาค 2 นั้น ถูกนายกฯแพทองธารกล่าวด้อยค่า ทำให้เห็นความไม่เป็นหนึ่งเดียว ก็อาจเป็นผลให้ฮุนเซน ฮึกเหิม โดยคิดว่าได้เปรียบไทย จึงได้เริ่มการยิงที่ชายแดน รวมทั้งจรวดวิสัยระยะกลาง ทำให้ไทยสูญเสีย ทั้งชีวิต คนไทยนับสิบๆคน รวมทั้งสินทรัพย์ สุขภาพจิต และเศรษฐกิจของไทยต้องเสียหายอีกมากมาย ก็เป็นเพราะการพูดคุยกันของนายกฯแพทองธารกับอังเคิลฮุนเซนมีส่วนเป็นต้นเหตุสำคัญทำให้ “ประเทศเสียหาย” อย่างที่นายกฯจะหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบไม่ได้
กระบวนการที่ทำให้ประเทศเสียหายนั้น อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร พ่อของนายกฯแพทองธาร ยังได้แสดงวิสัยทัศน์ ในงาน Nation TV Dinner Talk ในวันที่ 22 สิงหาคม 2567 แนะให้รัฐบาลไทยเร่งดำเนินการคือ เรื่องพื้นที่ทับซ้อนกันของไทยกับกัมพูชา โดยนำเอาทรัพยากรปิโตรเลียมที่มีอยู่ขึ้นมาใช้โดยแบ่งประโยชน์กันฝั่งละ 50% ทั้งที่เส้นแบ่งตามแนวทางของกัมพูชา ไม่เป็นไปตามหลัก เส้นมัธยะ ซึ่งต้องเคารพสิทธิโดยชอบของไทยเหนือเกาะกูดเป็นพื้นที่ในราชอาณาจักรไทย “ทั้งเกาะ” เป็นขอบเขตประเทศ ไม่ใช่ลากเส้นแบบกัมพูชา โดยผ่าเกาะกูด (แม้จะทำเป็นเส้นอ้อมขอบเกาะ) ซึ่งเป็นการแบ่งพื้นที่ในทางทะเลที่ไม่ถูกหลักสากล คือใช้หลักการเส้นมัธยะ จากขอบเขตประเทศเป็นหลัก
คำชี้แจงของนายกฯแพทองธาร ซึ่งไม่น่าเชื่อถือ ในทั้ง 3 เรื่องนี้ ทำให้เห็นชัดว่า (1) ไม่เป็น “เทคนิคการเจรจา” ตามหลัก Principled Negotiation จริง (2) “ตนเองได้ประโยชน์” ดังความตั้งใจปกป้องอดีตนายกฯทักษิณ ผู้เป็นบิดา จากคำขู่ของฮุนเซน และ (3) “ประเทศเสียหาย” ทำให้น่าจะสรุปได้ว่า การพูดคุยโทรศัพท์ตามคลิปดังกล่าว ทำให้เห็นชัดว่า "ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์" และ "ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง" ตามหลักฐานที่เป็นที่ประจักษ์ดังกล่าวมากมาย
ไทยทน