สหรัฐฯอาจจะเพิ่งพ่ายแพ้ในสงครามใหญ่ จากการไปกระตุ้นให้ความฝัน‘จีน-อินเดียจับมือกัน’ คืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง
(เก็บความจากเอเชียไทมส์ https://asiatimes.com/2025/08/us-mayve-lost-a-battle-refreshing-china-india-chindia-dreams/)
US may’ve lost a battle, refreshing China-India ‘ChIndia’ dreams
by Francesco Sisci
21/08/2025
ความสัมพันธ์อย่างแข็งแรงครั้งใหม่ระหว่างจีน-อินเดีย กำลังเป็นสิ่งคุกคามที่จะส่งผลกระทบต่อดุลแห่งอำนาจของทั่วทั้งเอเชียโดยรวม และต่อสงครามยูเครนที่กำลังดำเนินอยู่ในเวลานี้
ขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ชองสหรัฐฯ พบหารือในกรุงวอชิงตันกับประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ของยูเครน และกลุ่มของพวกผู้นำยุโรป ทางด้านจีนกับอินเดียก็กำลังปรับปรุงซ่อมแซมสายสัมพันธ์ของพวกเขาอยู่ที่กรุงนิวเดลี เป็นการดำเนินเกมทางการทูตระดับโลกในทิศทางตรงกันข้าม
การพบเจอกันที่วอชิงตันนั้นมีเป้าหมายที่ชัดเจนอยู่ประการหนึ่ง ได้แก่การวางกรอบข้อตกลงทั่วไปในระหว่างชาติพันธมิตรของอเมริกา กรอบโครงดังกล่าวนี้ต้องรับประกันความมั่นคงของยูเครน และเขี่ยลูกเริ่มกระบวนการสันติภาพอย่างสอดคล้องกับความเป็นจริงกับรัสเซีย แต่มันจะสามารถนำไปปฏิบัติอย่างได้ผลแค่ไหนนั้นยังคงไม่มีความแน่นอน ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นในนิวเดลีจึงอาจจะมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด
การเดินทางไปเยือนอินเดียระหว่างวันที่ 18-20 สิงหาคม ของมนตรีแห่งรัฐ (State Counselor) และรัฐมนตรีต่างประเทศ หวัง อี้ ของจีน มีเค้าโครงที่คลุมเครือกว่ามาก มันเป็นความพยายามที่จะเปิดสวิตซ์แสงแห่งความสัมพันธ์ฉันเพื่อนบ้านอันเต็มไปด้วยความสลับซับซ้อนให้สว่างไสวขึ้นมาใหม่ กระนั้น ภาพลักษณ์ของสิ่งที่มันอาจก่อให้เกิดขึ้นมาได้ก็ทรงความสำคัญอย่างน่าเกรงขามอยู่ดี เนื่องจากจีนกับอินเดียรวมกันแล้วเท่ากับประชากรจำนวน 40% ของโลกทีเดียว ช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา พวกเขายังกำลังผลักดันเศรษฐกิจของพวกเขาจนมีอัตราเติบใหญ่ขยายตัวรวดเร็วกว่าของพวกชาติในโลกตะวันตก พวกเขายังมาพบกันครั้งนี้ท่ามกลางภูมิหลังที่ต่างมีสายสัมพันธ์อันชุ่มชื่นใจยิ่งขึ้นกับรัสเซีย ขณะเดียวกันนั้น ต่างก็กำลังมีความระแวงสงสัยหรือกระทั่งความเป็นศัตรูกับอเมริกาเพิ่มมากขึ้น
สำหรับในครั้งนี้ จีนกับอินเดียสามารถตกลงกันได้ที่จะรื้อฟื้นเที่ยวบินตรงระหว่างกัน, การออกวีซ่าให้แก่พวกนักข่าวนักหนังสือพิมพ์, และการอำนวยความสะดวกให้แก่การแลกเปลี่ยนกันทางธุรกิจและวัฒนธรรม นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ของอินเดีย โพสต์ข้อความทางสื่อสังคม โดยชี้ถึง “ความเคารพ” ในผลประโยชน์และความอ่อนไหวต่างๆ ของกันและกัน เวลาเดียวกันนี้ หวัง ก็กล่าวว่า ประเทศทั้งสองได้เข้าสู่ “เส้นทางแห่งการพัฒนาที่มีความสม่ำเสมอ” และควรที่จะ “ไว้วางใจและสนับสนุน” ซึ่งกันและกัน
ทางด้าน วิเจย์ โกเคล (Vijay Gokhale) นักการทูตมากประสบการณ์ชาวอินเดีย ได้เขียนบทความที่หยิบยกเหตุผลต่างๆ เพื่อสนับสนุนให้สองประเทศรอมชอมกัน (ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://timesofindia.indiatimes.com/blogs/toi-edit-page/first-tango-in-five-years/) อินเดียบอกว่า มีความระมัดระวังต่อจีน เนื่องจากเพื่อนบ้านยักษ์ใหญ่ของตนรายนี้มีการบ่มเพาะสายสัมพันธ์ที่ชวนให้สะดุ้งใจกับประเทศต่างๆ ที่อยู่รายล้อมแดนภารตะ ไม่ว่าจะเป็น ปากีสถาน, ศรีลังกา, บังกลาเทศ, เนปาล, ภูฏาน, และพม่า
อย่างไรก็ดี โกเคล เน้นย้ำว่าแดนภารตะนั้นต้องการจีนเพื่อมาหักล้างลดทอนความต้องการบางอย่างบางประการของฝ่ายอเมริกัน “อินเดียจำเป็นต้องมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีขึ้นกับจีน เพื่อทัดทานและรับมือกับแรงกดดันและจุดอุดตันจำนวนมากของฝ่ายตะวันตก” อดีตปลัดกระทรวงการต่างประเทศอินเดียผู้นี้ระบุ ทั้งนี้เขากำลังพูดอ้อมๆ ถึงแรงกดดันด้านภาษีศุลกากรใหม่ๆ ของ โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งอินเดียถูกจัดชั้นอยู่ในหมู่ประเทศที่โดนจัดเก็บในอัตราเลวร้ายที่สุด
พวกนักการทูตทั้งฝ่ายจีนและฝ่ายอินเดีย ต่างแสดงอาการเพิกเฉยหรือลดน้ำหนักของเหตุการณ์ที่สองประเทศได้เกิดการปะทะกันอย่างรุนแรงบริเวณชายแดน ซึ่งเป็นสิ่งที่อุบัติขึ้นเพียงเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้เอง เวลานี้ขอบฟ้าใหม่ดูเหมือนจะเปิดขึ้นมาในเอเชียแล้ว
เมื่อช่วงต้นทศวรรษ 2000 จีนกับอินเดียได้เคยพยายามสำรวจลู่ทางในการปฏิบัติตามความคิดเห็นที่จะกระชับความสัมพันธ์ทวิภาคีของพวกเขาให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น ในตอนนั้นเองที่แนวความคิดว่าด้วย “ชินเดีย” (ChIndia มาจากคำว่า China + กับคำว่า India) ได้ปรากฏขึ้นมา อย่างไรก็ดี ไม่นานนักโครงการนี้ก็หมดพลัง เนื่องจากทั้งสองประเทศต่างฝ่ายต่างตั้งท่ามีข้อสงวนอะไรอยู่เยอะแยะ รวมทั้งการที่จีนมีความไม่พอใจอินเดียอยู่อย่างล้ำลึก โดยที่พวกผู้รู้ชาวจีนจำนวนมากต่างรู้สึกว่าอินเดียเป็นประเทศที่มีโครงสร้างเปราะบางมาก
ก่อนหน้านั้นขึ้นไปหลายสิบปี คือเมื่อปี 1965 จีนกับอินเดียเคยสู้รบทำสงครามชายแดนกัน ถึงแม้เวลานั้นปักกิ่งอยู่ในสภาพที่อ่อนแออย่างที่สุด (สงครามนี้เกิดขึ้นตามหลังติดๆ จากช่วงรณรงค์ “การก้าวกระโดดใหญ่” หรือ Great Leap Forward ในจีน ซึ่งสร้างความเสียหายถึงขั้นวิบัติหายนะให้แก่เศรษฐกิจของแดนมังกร) แต่นิวเดลีก็ยังประสบความพ่ายแพ้ ความทรงจำในเรื่องนี้ติดแน่นอยู่กับจีนเรื่อยมา ทำให้แดนมังกรไม่ค่อยมองแดนภารตะอย่างให้น้ำหนักจริงจังอะไรนัก
กลุ่ม“คว็อด” ที่อ่อนแอลง
ด้วยความล้มเหลวของ ชินเดีย ทางอินเดียก็ได้ปรับเปลี่ยนจุดยืนด้านระหว่างประเทศของตน และเคลื่อนไปในทิศทางใกล้ชิดกับสหรัฐฯมากยิ่งขึ้น อินเดียได้เข้าร่วมในกลุ่มคว็อด (Quad) ที่เป็นกลไกด้านความมั่นคงในเอเชีย โดยอีก 3 ชาติในกลุ่มนี้ได้แก่ ญี่ปุ่น, ออสเตรเลีย, และสหรัฐฯ กลุ่มนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อรับมือต่อกรกับจีนอย่างชัดเจน ทว่ามาถึงตอนนี้ ทั้งๆ ที่มีกลุ่มคว็อด สหรัฐฯก็ยังคงพุ่งเป้าเล่นงานอินเดียด้วยภาษีศุลกากรอัตราสูงที่มุ่งเป็นการลงโทษ ด้วยข้อกล่าวหาที่ว่าแดนภารตะซื้อน้ำมันจากแดนหมีขาว ทว่า ทั้งๆ ที่มีกลุ่มคว็อดนี่แหละ อเมริกากลับกำลังตัดสินใจเปิดประตูกว้างขึ้นในเรื่องการแลกเปลี่ยนทางการค้าและเทคโนโลยีกับจีน และดูเหมือนปฏิบัติต่อปักกิ่งด้วยความนุ่มนวลระแวดระวังเป็นพิเศษ
การที่อินเดียตัดสินใจกระชัยความสัมพันธ์กับจีนให้แข็งแรงขึ้นเช่นนี้ ไม่จำเป็นจะต้องหมายความว่านิวเดลีจะถอนตัวออกจากกลุ่มคว็อดแล้ว อันที่จริงอินเดียยังได้ลงนามในข้อตกลงการค้าเสรีกับทั้งสหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักร อีกทั้งมีสายสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งอยู่กับญี่ปุ่น ซึ่งก็มีความระแวงระวังเจตนารมณ์ของจีนเหมือนกัน
กระนั้นก็ตาม พัฒนาล่าสุดเช่นนี้ไม่ต้องสงสัยเลยว่า จะทำให้รัสเซียมีที่ทางสำหรับการขยับเนื้อขยับตัวในเอเชียเพิ่มมากขึ้น และส่งอิทธิพลต่อฐานะในการเจรจาสันติภาพของแดนหมีขาวในยูเครนอีกด้วย ปีศาจร้ายแห่งการจับมือเป็นกลุ่มพันธมิตร 3 ฝ่ายระหว่างรัสเซีย, จีน, และอินเดีย -ซึ่งได้รับการจินตนาการเป็นรูปเป็นร่างครั้งแรกสุดโดยอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย เยฟเกนี พรีมาคอฟ (Yevgeny Primakov) เมื่อประมาณ 30 ปีก่อน— ก็ดูเป็นสิ่งแปลกประหลาดลดน้อยลงไปมาก
ในแนวรบด้านรัสเซีย ทริปเดินทางไปเยือนอินเดียคราวนี้ของ หวัง อี้ ยังไม่เพียงพอที่จะลบล้างข้อตกลงใหม่ๆ ในการสนับสนุนยูเครนที่เหล่าพันธมิตรยุโรปตัดสินใจขณะอยู่ในวอชิงตันว่าจะยังคงยึดมั่นเอาไว้อย่างเหนียวแน่น อย่างไรก็ตาม มันก็ยังคงแสดงให้เห็นว่าจีนมีความฉับไวในการลงมือปฏิบัติการ และพรักพร้อมที่จะเคลื่อนไหวเข้าไปยังรอยร้าวเล็กๆ ทุกๆ รอยที่อเมริกาและพวกพันธมิตรเปิดเผยให้เห็น
ยิ่งไปกว่านั้น จีนยังเท่ากับเพิ่งกระทำเรื่องที่เป็นผลดีอย่างสำคัญเรื่องหนึ่งให้แก่รัสเซียในช่วงจังหวะเวลาอันละเอียดอ่อน ทำให้มีความยากลำบากมากขึ้นสำหรับมอสโกในการที่จะหันหลังให้จีนในการเจรจาต่อรองใดๆ ก็ตามทีกับฝ่ายสหรัฐฯในอนาคต ทั้งนี้เป้าหมายที่เล็งเอาไว้อย่างเงียบๆ ของสหรัฐฯในเรื่องสันติภาพกับรัสเซียนั้น ถูกหลายฝ่ายกล่าวหาว่าก็คือการดึงให้มอสโกถอนตัวออกมาจากการสวมกอดปักกิ่งนั่นเอง
เมื่อเป็นเช่นนี้ มันก็อาจจะยากลำบากขึ้นกว่าเดิมเสียแล้ว ความสัมพันธ์รัสเซีย-อินเดีย-จีน (Russia-India-China เรียกย่อๆ ว่า RIC) ในยุคใหม่ มีความเป็นไปได้ทีเดียวว่าจะมีเสถียรภาพยิ่งกว่าการจับมือเป็นพันธมิตรทวิภาคีระหว่างรัสเซีย-จีนเสียอีก
มันคือเกมหมากล้อม (โกะ/เหวยฉี) ระดับโลก ผู้เล่นแต่ละคนพยายามที่จะล้อมคู่ต่อสู้ และหลบหลีกไม่ให้ตัวเองถูกล้อม อันตรายอยู่ตรงที่ว่าขณะที่เรารู้สึกว่าได้ล้อมคู่ต่อสู้เอาไว้ได้แล้ว คู่ต่อสู้กลับเป็นฝ่ายเพิ่งเข้าล้อมคุณเอาไว้ได้ภายในวงที่ใหญ่ขึ้นมา ทั้งนี้คนจีนคือผู้ประดิษฐ์เกมชนิดนี้ขึ้นตั้งโบราณนานไกล
ฟรานเชสโก ซิสซี เป็นนักวิเคราะห์ชาวอิตาลี และเป็นคอมเมนเตเตอร์เรื่องการเมือง ซึ่งมีประสบการณ์ในจีนและเอเชียมากกว่า 30 ปี เขาเคยเป็นผู้สื่อข่าวประจำจีนและคอลัมนิสต์ของเอเชียไทมส์ ปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการของสถาบันแอปเปีย (Appia Institute) --สมาคมไม่แสวงหากำไรซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้มีการถกเถียงและสำรวจประเด็นปัญหาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเมืองระหว่างประเทศ
ข้อเขียนชิ้นนี้เผยแพร่ครั้งแรกสุดในเว็บไซต์ของสถาบันแอปเปีย https://www.appiainstitute.org/articles/asia/back-to-chindia/https:/www.appiainstitute.org/articles/asia/back-to-chindia/
website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO