โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ต่างประเทศ

เวียดนามกับ ‘ซีรีย์ปฎิรูปประเทศ’ จุดเปลี่ยนเศรษฐกิจ ‘ขาขึ้น’

กรุงเทพธุรกิจ

อัพเดต 10 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 4 ชั่วโมงที่ผ่านมา

“เวียดนาม” ถูกจับตามองในฐานะ “ประเทศดาวรุ่ง” ในอาเซียน หลังจากผันตัวจากสังคมเกษตรกรรมไปสู่การเป็นฮับการผลิต และพยายามผลักดันให้เศรษฐกิจเติบโตแบบเลขสองหลักหรือ (Double Digits) แซงทุกประเทศรวมถึงไทย

"กรุงเทพธุรกิจ" สัมภาษณ์พิเศษ “ผศ.มรกตวงศ์ ภูมิพลับ” ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ว่า การเดินทางทางเศรษฐกิจเวียดนามเต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญ ทั้งประวัติศาสตร์ การเมือง และนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจที่หล่อหลอมให้เวียดนามจากที่เคยเป็นสังคมเกษตร ก้าวมาถึงแหล่งผลิตของโลก และกำลังเร่งเครื่องปฏิรูปครั้งใหญ่อีกครั้งใน “ซีรีย์การปฎิรูป” ทั้งด้านเศรษฐกิจและนโยบาย

‘ซีรีย์การปฎิรูป’ ของเวียดนาม

ผศ.มรกตวงศ์ เล่าว่าซีรีย์การปฎิรูปเริ่มต้นเมื่อ 2-3 ปีก่อน จากการรณรงค์ต่อต้านคอร์รัปชันครั้งใหญ่ที่เรียกว่า "ไฟที่ลุกโชน" (Burning Furnace) ภายใต้การนำของอดีตเลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์ เหวียน ฝู จ่อง โดยมุ่งเป้าไปที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงในพรรคและรัฐบาล ซึ่งเป็นการสร้างความเชื่อมั่นในเรื่องความโปร่งใสและธรรมาภิบาล

จากนั้นมีการปฏิรูประบบราชการครั้งใหญ่ หลังจากผู้นำคนปัจจุบัน “โต เลิม” เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ขึ้นดำรงตำแหน่ง เช่น การควบรวมจังหวัดจาก 60 กว่าจังหวัด เหลือ 30 กว่าจังหวัดและลดขนาดบุคลากรภาครัฐ เพื่อให้การบริหารงานมีความกระชับและมีประสิทธิภาพมากขึ้นและลดปัญหาความยุ่งยากซับซ้อนที่เป็นอุปสรรคต่อนักลงทุน

หลังจากแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างแล้ว รัฐบาลได้ประกาศและผลักดัน “โครงการเมกะโปรเจกต์” ขนาดใหญ่ทั่วประเทศที่ประกาศเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมากว่า 250 โครงการ ซึ่งมีมูลค่ากว่า 1.5 ล้านล้านบาท ทั้งการสร้างทางด่วน ถนน และเขตเศรษฐกิจพิเศษต่างๆ จากฝั่งของเลขาธิการพรรค และการอนุมัติลงทุน “เอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์” มูลค่าราว 6.6 หมื่นล้านบาท จากฝั่งของ “ฝ่าม มิงห์ จิ๋งห์” นายกรัฐมนตรีเวียดนาม

โครงการเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน แต่ยังเป็นการ “ปิดจุดอ่อน” ที่เคยเป็นอุปสรรคสำคัญในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ ทำให้เวียดนามเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนระดับโลกมากขึ้น

เมกะโปรเจกต์ของเวียดนามจะสำเร็จหรือไม่?

โครงการพัฒนาขนาดใหญ่ที่รัฐบาลเวียดนามประกาศออกมาอย่างต่อเนื่องได้สร้างความตื่นเต้นและจุดประกายความหวังให้กับทั้งคนในประเทศและนักลงทุนต่างชาติ แต่ทว่าความสำเร็จของโครงการเหล่านี้ไม่ได้มาโดยง่ายดาย และยังต้องเผชิญกับความท้าทายสำคัญหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของ“การเงินและการคอร์รัปชัน”

ในความเป็นจริง เวียดนามเป็นประเทศที่มีวิสัยทัศน์ในการพัฒนาเมกะโปรเจกต์มาอย่างยาวนาน โดยบางโครงการเกิดขึ้นมาสักพักแล้ว เช่น สนามบินลองแถ่ง (Long Thanh International Airport) ซึ่งเป็นโครงการที่ถูกพูดถึงมานานก่อนช่วงการระบาดของโควิด

ผศ.มรกตวงศ์มองว่า "ความสำเร็จของโครงการเหล่านี้อาจต้องพิจารณาแยกเป็น 2 ส่วน คือโครงการที่ รัฐบาลเป็นผู้ลงทุนโดยตรง และโครงการที่ รัฐบาลเปิดให้เอกชนเข้ามาลงทุน ซึ่งแต่ละส่วนมีแนวโน้มความสำเร็จที่แตกต่างกัน"

  • โครงการของรัฐ

การที่รัฐบาลเวียดนามมีแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างชัดเจนเป็นเรื่องที่น่าชื่นชม แต่ความท้าทายหลักคือ “การจัดหาเม็ดเงินลงทุน” สำหรับโครงการขนาดใหญ่เหล่านี้ ที่อาจทำให้โครงการล่าช้าหรือต้องเผชิญกับปัญหาทางการเงิน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

“โครงการรถไฟฟ้าใต้ดินในนครโฮจิมินห์” เป็นหนึ่งตัวอย่างของความล่าช้าในการก่อสร้างที่เคยเกิดขึ้นกับอีกหลายโครงการเนื่องจากปัญหาการเบิกจ่ายเงินทุนจากรัฐบาล หลังจากนี้ต้องจับตาดูโครงการโครงสร้างพื้นฐานว่าจะสำเร็จตามกำหนดการณ์หรือไม่

  • โครงการของเอกชน

โครงการที่รัฐบาลให้สัมปทานกับเอกชน เช่น การพัฒนา Entertainment Complex หรือโรงแรมต่างๆ มีแนวโน้มที่จะสำเร็จได้เร็วกว่า เนื่องจากเอกชนมีแหล่งเงินทุนที่พร้อมและกระบวนการตัดสินใจที่รวดเร็วกว่าภาครัฐ ตัวอย่างเช่น โครงการของ Sun Group ที่เชื่อมโยงกับเขตเศรษฐกิจพิเศษที่ติดกับจีน ก็อาจเป็นหนึ่งในโครงการที่ประสบความสำเร็จในลำดับแรกๆ

และแม้ว่ารัฐบาลเวียดนามจะมีความพยายามอย่างยิ่งในการปราบปรามการคอร์รัปชันในระยะ 2-3 ปีที่ผ่านมา แต่การคอร์รัปชันยังคงเป็นหนึ่งในความท้าทายสำคัญที่ต้องเผชิญในระยะยาว การปฏิรูประบบราชการด้วยการลดขนาดเจ้าหน้าที่ลงอาจช่วยให้ควบคุมได้ง่ายขึ้น แต่ก็ยังคงต้องพิสูจน์ให้เห็นว่ามาตรการเหล่านี้จะสามารถดำเนินการได้อย่างจริงจังและต่อเนื่อง โดยไม่กลับไปสู่ปัญหาเดิมๆ ซึ่งถือเป็นด่านทดสอบที่สำคัญสำหรับผู้นำเวียดนามชุดปัจจุบัน

'การเมือง' จุดเปลี่ยนสำคัญสู่การเป็น 'เสือเศรษฐกิจ'

หากถามว่าอะไรคือ “จุดเปลี่ยน” ที่ทำให้เวียดนามเร่งปฎิรูปนโยบายและเศรษฐกิจในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้

ผศ.มรกตวงศ์ชวนตั้งข้อสังเกต ว่า การเคลื่อนไหวทั้งหมดนี้มีเป้าหมายที่ชัดเจนคือ “การสร้างภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือ” ให้กับรัฐบาล ซึ่งเป็นช่วงเวลาประจวบเหมาะก่อนการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์ที่จะจัดขึ้นในปี 2026

ที่ผ่านมาประชาชนเวียดนามในยุคนี้เบื่อหน่ายกับความวุ่นวายและสงครามในอดีต พวกเขาต้องการเห็นประเทศที่เติบโตและชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น หากรัฐบาลสามารถนำพาประเทศไปสู่ความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจได้

ดังนั้น การเดิมเกมครั้งนี้ จึงอาจเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ผู้นำประเทศต้องการแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาคลาสสิกของเวียดนาม เช่น คอร์รัปชันและโครงสร้างพื้นฐานที่ล้าสมัย ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนว่าผู้นำชุดปัจจุบันมีวิสัยทัศน์ที่จะพัฒนาประเทศให้ก้าวไปสู่การเป็น"เสือเศรษฐกิจในเอเชีย” ในอีก 20 ปีข้างหน้า รวมทั้งการเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและลดขั้นตอนทางราชการที่ยุ่งยากเป็นการ “ปิดจุดอ่อนด้านการแข่งขัน” และทำให้เวียดนามเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างก้าวกระโดด

“การเมืองและเศรษฐกิจของเวียดนามในยุคปัจจุบันมีความสัมพันธ์กันในลักษณะ “สองทิศทาง” คือการเมืองที่ดีจะส่งเสริมเศรษฐกิจให้เติบโต และในทางกลับกัน เศรษฐกิจที่เติบโตก็จะเป็นรากฐานสำคัญในการเสริมสร้างอำนาจและความชอบธรรมให้กับรัฐบาล” ผศ.มรกตวงศ์กล่าว

รวมทั้ง มีนักวิเคราะห์หลายคนตั้งคำถามว่า “เวียดนาม” มีการปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์คล้าย “จีน” อย่าง Dual circulation ยุทธศาสตร์วงจรคู่ขนานหรือไม่

ผศ.มรกตวงศ์มองว่ายุทธศาสตร์เศรษฐกิจของเวียดนามมีความคล้ายคลึงกับจีนในแง่ของการพยายาม “สร้างสมดุลระหว่างตลาดภายในและภายนอก” เพื่อไม่ให้อิงกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมากเกินไป ซึ่งเราได้เห็นความพยายามในการ “ยกระดับอุตสาหกรรม” จากการรับจ้างผลิตสินค้าพื้นฐาน เช่น เสื้อผ้าหรือรองเท้า ไปสู่การผลิตสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น ชิปและ AI ซึ่งเป็นแนวทางที่จีนเคยใช้ในการพัฒนาประเทศเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม เวียดนามยังคงแตกต่างจากจีนในด้านการควบคุมโดยรัฐ โดยที่รัฐเวียดนามยังคงมีบทบาทในการควบคุมและกำกับดูแลเศรษฐกิจอย่างเข้มงวด มากกว่ากรณีของจีนที่ให้อิสระแก่ภาคเอกชนในการแข่งขันมากกว่า จะเห็นได้จากกฎหมายและเงื่อนไขการร่วมลงทุนที่เข้มงวด ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลยังคงกุมอำนาจหลักไว้ ถึงแม้จะมีการต้อนรับนักลงทุนต่างชาติก็ตาม

ถอดบทเรียน ‘เวียดนาม’ ดันตัวเองจากฐานผลิตสู่ ‘ผู้คิดค้น’

เมื่อมองย้อนกลับไปที่ประวัติศาสตร์ของเวียดนาม สิ่งที่เห็นชัดเจนที่สุดในตอนนี้คือ เวียดนามพยายามปรับสมดุลระหว่างการเป็น "ฐานการผลิต" และการก้าวขึ้นสู่การเป็น "ผู้คิดค้น"

ในอีก 5-10 ปีข้างหน้า แนวโน้มเศรษฐกิจของเวียดนามจะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องและจะยังไม่ตกต่ำลงอย่างแน่นอน เหตุผลสำคัญคือการไหลเข้าของเงินทุนจากต่างประเทศ และความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับประเทศชั้นนำอย่างสหรัฐอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้

ปัจจุบัน เวียดนามไม่ได้มุ่งเน้นเพียงแค่การเป็นฐานการผลิตราคาถูกอีกต่อไป แต่กำลังพยายามเรียนรู้และถ่ายทอด "Know-how" จากประเทศที่มีเทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อนำมาพัฒนาอุตสาหกรรมของตนเอง

การเปลี่ยนผ่านนี้จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจในระยะยาว แม้จะเผชิญกับความผันผวนทางการเมืองภายในประเทศ แต่หากเศรษฐกิจโลกโดยรวมไม่เกิดวิกฤตการณ์ร้ายแรง เวียดนามก็จะยังคงรักษาอัตราการเติบโตไว้ได้ หรืออย่างน้อยก็อยู่ในระดับคงที่ที่ยังเป็น “ขาขึ้น”

แต่แม้ว่าเวียดนามจะเริ่มให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจภายในและการสร้างนวัตกรรมมากขึ้น แต่ก็ยังไม่สามารถละทิ้งบทบาทการเป็นฐานการผลิตและการส่งออกได้อย่างสิ้นเชิง เห็นได้จากความกังวลของรัฐบาลต่อประเด็นต่างๆ เช่น ภาษีการค้า ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการส่งออกยังคงเป็นเสาหลักทางเศรษฐกิจที่สำคัญ การเปลี่ยนแปลงสู่การเป็นประเทศนวัตกรรมจึงต้องใช้เวลา

ผศ.มรกตวงศ์ มองว่าการที่เวียดนามจะสามารถก้าวข้ามจากฐานการผลิตราคาถูกไปสู่การเป็นประเทศที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม เวียดนามจำเป็นต้องแก้ปัญหา 2 สำคัญ คือ การพัฒนาคุณภาพแรงงาน เพื่อเปลี่ยนจากแรงงานราคาถูกไปสู่แรงงานคุณภาพ

ถัดมาคือ เรื่องการศึกษาและภาษา ล่าสุดรัฐบาลประกาศให้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองในระบบการศึกษา ซึ่งเป็นการถอดแบบการวิธีการของรัฐบาลสิงคโปร์ภายใต้การนำของลี กวนยูในช่วงแรก ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ เพราะภาษาช่วยให้คนสามารถสื่อสารและเข้าถึงองค์ความรู้ระดับโลกได้ หากสามารถทำได้สำเร็จ จะทำให้คนรุ่นใหม่ของเวียดนามมีทักษะที่จำเป็นสำหรับการแข่งขันในเวทีโลก

‘ไทย’ จะก้าวทันเพื่อนบ้านได้อย่างไร?

ในสถานการณ์ปัจจุบัน ไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายสำคัญหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของความสามารถในการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านอย่าง “เวียดนาม”

“ทุกวันนี้เราค่อนข้างที่จะถอยหลังในหลายเรื่อง เราพยายามดึงดูดนักลงทุนด้วยการโฆษณาและข้อเสนอต่าง ๆ แต่ก็ยังไม่เห็นความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม หากเราสูญเสียความสามารถในการแข่งขันไป นั่นไม่ใช่เพราะเพื่อนบ้านก้าวหน้าเร็วเกินไป แต่เป็นเพราะเราเองที่หยุดอยู่กับที่หรือกำลังถอยหลัง”

การแข่งขันที่แท้จริงของอาเซียนในตอนนี้คือการแย่งกันเป็นแหล่งผลิตที่ราคาถูกกว่า ซึ่งเป็นการแข่งขันที่ไม่ก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่ม เราต้องเปลี่ยนวิธีคิดจากการแข่งขันด้านราคามาเป็นการแข่งขันด้านคุณภาพ ไทยต้องเป็นประเทศที่มีแรงงานคุณภาพสูงที่นักลงทุนยอมจ่ายเพื่อแลกกับความคุ้มค่า

ผศ.มรกตวงศ์ชี้ว่า แทนที่จะมองแค่เวียดนาม ไทยสามารถมองโมเดลการพัฒนาบุคลากรของสิงคโปร์เป็นตัวอย่างได้ สิงคโปร์ประสบความสำเร็จในการสร้างแรงงานคุณภาพสูงที่ไม่ได้พึ่งพาแต่ภาคเกษตรกรรม แต่สามารถก้าวเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงอย่างเซมิคอนดักเตอร์ได้

รวมถึงการกล้าตัดสินใจและบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังในการเดินหน้าโครงการใหญ่ ๆ เพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ เช่น Entertainment Complex แม้จะมีข้อถกเถียงมากมายในเรื่องผลกระทบทางสังคม แต่ความท้าทายที่แท้จริงอยู่ที่การบังคับใช้ “กฎหมาย” ซึ่งเวียดนามมีข้อได้เปรียบในเรื่องความเข้มแข็งของอำนาจรัฐ ทำให้การออกกฎหมายและการบังคับใช้เป็นไปอย่างชัดเจนและรวดเร็ว หรือแม้แต่สิงคโปร์เอง เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าความสำเร็จของโครงการขนาดใหญ่ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของกฎหมาย

สุดท้ายแล้ว การปฏิรูปของเวียดนามในยุคปัจจุบันแสดงให้เห็นถึง "ความสัมพันธ์ที่แนบแน่นระหว่างการเมืองและเศรษฐกิจ" การเมืองที่ดีจะช่วยส่งเสริมให้เศรษฐกิจเติบโต และในทางกลับกัน เศรษฐกิจที่เติบโตก็จะกลายเป็นรากฐานสำคัญในการเสริมสร้างอำนาจและความชอบธรรมให้กับรัฐบาล การเดินเกมที่ชาญฉลาดนี้อาจเป็นคำตอบว่าทำไมเวียดนามจึงถูกจับตามองในฐานะ "เสือเศรษฐกิจเอเชีย" ตัวใหม่ในอีก 20 ปีข้างหน้า

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก กรุงเทพธุรกิจ

‘มาริษ’เตรียมบินเจนีวาหารือคณะกรรมการ'อนุสัญญาออตตาวา’

26 นาทีที่แล้ว

‘ปิดด่าน-ภาษีทรัมป์’สะเทือนกัมพูชาปรับลดจีดีพีเหลือ 5%

50 นาทีที่แล้ว

หมาแมวก็เจอสังคมสูงอายุ มี ‘Longevity’ เหมือนคน อายุ 20 ปีก็ยังอยู่ได้ เจอป่วยอัลไซเมอร์เยอะสุด

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

'นักวิชาการ มธ.' หวั่นนำเข้า ‘แรงงานศรีลังกา’ แย่งงานคนไทย

2 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความต่างประเทศอื่น ๆ

"ชาวกัมพูชา" หนุนตั้งชื่อถนน "โดนัล ทรัมป์" ขอบคุณปธน.สหรัฐฯช่วยยุติข้อพิพาทไทย-กัมพูชา

สยามรัฐ

รัสเซียรุกคืบภาคตะวันออกยูเครน เคียฟยิงโดรนโจมตีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ตอบโต้

เดลินิวส์

คลิประทึก!! ยายติดเมาท์ หันหลัง 1 นาที รถเข็นหลานไหลตกบ่อน้ำ หวิดดับทั้ง 2 ชีวิต

sanook.com

‘กัมพูชา’ ลั่นประชาชนสามัคคี ทำไทยล้มเหลว ‘สงครามจิตวิทยา-ข่าวปลอม’

The Bangkok Insight

‘มาริษ’เตรียมบินเจนีวาหารือคณะกรรมการ'อนุสัญญาออตตาวา’

กรุงเทพธุรกิจ

‘จีน’ เตรียมฉาย!! 'เสินโจว 13' หนัง 8K ถ่ายทำบน ‘อวกาศ’ เรื่องแรก 5 ก.ย. นี้

THE STATES TIMES

แม่ลูกป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาว! ต้นตอชวนช็อกมาจาก "ของใช้ในบ้าน" ซ่อนสารก่อมะเร็ง

sanook.com

‘ปิดด่าน-ภาษีทรัมป์’สะเทือนกัมพูชาปรับลดจีดีพีเหลือ 5%

กรุงเทพธุรกิจ

ข่าวและบทความยอดนิยม

Loading...
Loading...
Loading...
รีโพสต์ (0)
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...