“Klarna” ฟินเทค BNPL ปรับเกมรุกจาก BNPL สู่ธนาคารดิจิทัลระดับโลก

อัพเดต 15 สิงหาคม 2568 เวลา 22.35 น. • เผยแพร่ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา

หลังเลื่อนแผน IPO จากแรงกดดันเศรษฐกิจโลก "Klarna" พลิกกลยุทธ์ขยายบริการสู่ธนาคารดิจิทัลเต็มรูปแบบ พร้อมปูพรมบัตรเดบิต บริการออมทรัพย์ และผลิตภัณฑ์การเงินใหม่ทั่วสหรัฐ-ยุโรป

วันที่ 11 สิงหาคม 2568 เวลา 17.01 น. สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ฤดูร้อนนี้เดิมทีควรเป็นช่วงเวลาทองของเซบาสเตียน เซเมียตคอฟสกี (Sebastian Siemiatkowski) ผู้ก่อตั้ง Klarna Group Plc บริษัทฟินเทคจากสวีเดนที่ก่อตั้งมากว่า 20 ปี เขาวางแผนจะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE) ในฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมา เพื่อระดมทุนอย่างน้อย 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะทำให้เขากลายเป็นมหาเศรษฐีอย่างเต็มตัว

แต่ก่อนที่การเสนอขายหุ้น IPO จะเริ่มไม่นาน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ก็ประกาศแผนเก็บภาษีนำเข้ารอบใหม่ ทำให้ตลาดการเงินทั่วโลกปั่นป่วน เพียงสองวันต่อมา เซเมียตคอฟสกีก็ตัดสินใจ“พักแผน IPO” ออกไปก่อน โดยกล่าวว่า “IPO เป็นเหตุการณ์สำคัญสำหรับผู้ถือหุ้นก็จริง แต่สำหรับผมมันเป็นเพียงหนึ่งในหลายหมุดหมาย”

ดังนั้นแทนที่จะฉลองความสำเร็จและวางแผนใช้ความมั่งคั่ง เขากลับใช้เวลาฤดูร้อนนี้เดินสายขึ้นเวทีสัมมนา พอดแคสต์ และรายการข่าว เพื่อหลีกเลี่ยงการตอบคำถามเรื่อง IPO แต่ตอนนี้เขากลับมาพร้อมแผนใหม่ ตั้งเป้าจะเดินหน้าจดทะเบียนภายในเดือนกันยายน พร้อมเสนอวิสัยทัศน์ใหม่ การสร้างธนาคารดิจิทัลระดับโลก

ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา Klarna เติบโตจากการเป็น “เวอร์ชันยุโรปของ PayPal” สู่การเป็นผู้ให้บริการสินเชื่อระยะสั้น “ซื้อก่อนจ่ายทีหลัง” (BNPL) รายใหญ่ที่สุดในโลก มีลูกค้าใช้งานประจำกว่า 100 ล้านคน ส่วนใหญ่ในสหรัฐและยุโรป ใช้ค้นหาสินค้า ติดตามการจัดส่ง จัดการการซื้อ และในบางประเทศยังเปิดบัญชีออมทรัพย์ได้

หลังแผน IPO ถูกแช่แข็งหลายเดือน Klarna ก็หันมาเร่งขยายธุรกิจธนาคารเพื่อลดภาพลักษณ์ว่าเป็นแค่ฟีโนมีนอนยุคโควิด โดยเตรียมออกบัตรเดบิตให้ลูกค้าเพิ่ม เริ่มในสหรัฐช่วงซัมเมอร์นี้ และยุโรปในฤดูใบไม้ร่วง และในอนาคตจะมีบริการธนาคารเต็มรูปแบบ

ปัจจุบันมีผู้ถือบัตรราว 1 ล้านราย และตั้งเป้าจะถึง 10 ล้านในหนึ่งปี พร้อมประกาศชัดว่า “ผมมาเพื่อปฏิวัติวงการธนาคาร”

แม้ชาวอเมริกันมีบัตรเครดิตเฉลี่ยคนละ 4 ใบ ทำให้ยากที่จะชวนให้เพิ่มอีก แต่เขามองว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่มองว่าบัตรเครดิตเอาเปรียบผู้ใช้ ด้วยค่าธรรมเนียมและดอกเบี้ยสูง กลุ่มนี้จึงเป็นเป้าหมายของ Klarna ผู้ที่อยากได้บัตรค่าธรรมเนียมต่ำหรือไม่มีค่าธรรมเนียม และมีตัวเลือกสินเชื่อดอกเบี้ยถูกกว่าธนาคารดั้งเดิม

โมเดลนี้เกิดผลมาแล้วในสวีเดน ซึ่ง Klarna ได้ใบอนุญาตธนาคารตั้งแต่ปี 2560 และปัจจุบันมีลูกค้า 80% ของประชากรผู้ใหญ่ ที่นั่นและบางประเทศในยุโรป Klarna มีเงินฝากรวม 9.5 พันล้านดอลลาร์ ใช้เป็นทุนปล่อยกู้ และล่าสุด 30 ก.ค. ที่ผ่านมา ก็ได้ใบอนุญาตสถาบันเงินอิเล็กทรอนิกส์จากอังกฤษ ซึ่งเป็นขั้นแรกสู่การทำธุรกิจธนาคารเต็มรูปแบบ

ระหว่างสาธิตในร้านกาแฟใกล้สำนักงานใหญ่สตอกโฮล์ม เซเมียตคอฟสกีสั่งกาแฟกับขนมปังกังเนลบูลลาร์ 3 ชิ้น แล้วเปิดแอป Klarna เลือกตัดเงินตรง และแตะโทรศัพท์กับเครื่องอ่านการ์ด แม้ใช้จ่ายแค่ 160 โครนาสวีเดน หรือราว 17 ดอลลาร์ ก็ยังแบ่งจ่าย 3 งวดแบบดอกเบี้ย 0% ได้ เขาบอกว่า “นี่เหมือนตอนผมทำงานที่ Burger King” ที่ลูกค้าเลือกจ่ายแบบเดบิตหรือเครดิตได้

เซเมียตคอฟสกี ซึ่งพ่อแม่หนีการปกครองคอมมิวนิสต์ในโปแลนด์ เคยทำงานพลิกเบอร์เกอร์ช่วงเรียนมหาวิทยาลัย และในปี 2548 เขาก่อตั้ง Klarna กับเพื่อนอีกสองคน นับแต่นั้นบริษัทก็ปรับกลยุทธ์ใหญ่หลายครั้ง แต่ก็ยังทำกำไรได้ต่อเนื่อง ปี 2553

ไมเคิล มอริตซ์ หุ้นส่วน Sequoia Capital และนักลงทุนยุคแรกของ Google, PayPal, Stripe เข้าร่วมบอร์ด และขึ้นเป็นประธานในปี 2563 ต่อมาในปี 2564 Klarna ได้เงินลงทุน 639 ล้านดอลลาร์จาก SoftBank ให้มูลค่าบริษัทพุ่งถึง 4.56 หมื่นล้านดอลลาร์

แต่ปีถัดมา สงครามรัสเซีย-ยูเครนและการขึ้นดอกเบี้ยทั่วโลกทำให้มูลค่าบริษัทร่วงเหลือ 6.7 พันล้านดอลลาร์ในรอบระดมทุนใหม่ ลดลง 85% Klarna ต้องปลดพนักงาน 10% และปรับระบบประเมินความเสี่ยงเพื่อคุมหนี้เสีย ก่อนกลับมามีกำไร

และสองปีมานี้ก็ได้พันธมิตรใหญ่อย่าง Airbnb, DoorDash, Expedia, Uber รวมถึง Walmart ในสหรัฐฯ ที่ให้ Klarna เป็นผู้ให้สินเชื่อระยะสั้นเพียงรายเดียว

แผนการตลาดภายใต้การนำของ CMO เดวิด แซนด์สตรอม เน้นภาพลักษณ์นุ่มนวลด้วยธีมสีชมพูบาร์บี้ และใช้ดาราอย่าง Snoop Dogg, Lady Gaga, Paris Hilton ทำแคมเปญ Klarna เน้นดีลช้อปปิ้งและโปรแกรมสะสมแต้ม แทนที่จะใช้คริปโตหรือหุ้นดึงลูกค้าเหมือนคู่แข่ง พร้อมวางแผนดึงผู้ใช้ธนาคารหลังจากซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์ม

Klarna มีผู้ใช้ 100 ล้านราย และร้านค้าที่ร่วมงานกว่า 724,000 ร้าน สร้างรายได้จากค่าธรรมเนียมกว่า 1.8 พันล้านดอลลาร์ต่อปี คิดเป็น 3 ใน 4 ของรายได้ทั้งหมด อย่างไรก็ดีบางฝ่ายกังวลเรื่องหนี้เสีย โดยเฉพาะเมื่อบริษัทเริ่มเจาะตลาดลูกค้าที่มีปัญหาการเงิน ขณะที่ค่าครองชีพสูงขึ้น และสหรัฐฯ กำลังจะกลับมาชำระหนี้การศึกษาที่พักชำระไว้

เซเมียตคอฟสกียืนยันว่าการปล่อยกู้ยังปลอดภัย อัตราหนี้ค้างชำระไตรมาส 2 อยู่ที่ 0.88% ลดจาก 1.03% ปีก่อน และต่ำกว่าธนาคารสหรัฐที่ตัดหนี้สูญบัตรเครดิตสูงสุดถึง 5% แต่ยอมรับว่าการบุกตลาดใหม่ต้องใช้เวลาราว 5 ปีเพื่อหาวิธีประเมินเครดิตที่แม่นยำ และได้ทำข้อตกลงขายหนี้ 30 พันล้านปอนด์ให้กับกองทุน Elliott เพื่อแบ่งเบาความเสี่ยง

แม้ตลาดหุ้นผันผวนเพราะนโยบายภาษีของประธานาธิบดีสหรัฐ แต่ปีนี้ IPO ฟินเทคหลายรายไปได้สวย เช่น Chime Financial หุ้นขึ้น 25% นับจากเปิดตัวเดือนมิถุนายน และ Affirm Holdings หุ้นขึ้นกว่าเท่าตัวตั้งแต่เมษายน

คู่แข่งในสนามนี้มีทั้ง Nubank จากบราซิลที่มีผู้ใช้ 118 ล้านคน และ Revolut จากลอนดอนที่กำลังระดมทุน 1 พันล้านดอลลาร์ มูลค่ากิจการ 6.5 หมื่นล้านดอลลาร์ Klarna แม้มีผู้ใช้มากกว่า แต่ก็ต้องเร่งปิดช่องว่างด้านขนาดธุรกิจและเงินฝาก

ล่าสุด Klarna เพิ่มบริการแพ็กเกจมือถือในสหรัฐ และเตรียมเสนอบริการซื้อขายหุ้น โอนเงินข้ามประเทศ รวมถึงผู้ช่วยการเงินดิจิทัลเพื่อช่วยลูกค้าบริหารรายจ่ายและประหยัดทั้งเงินและเวลา เป้าหมายสูงสุดของธนาคาร คือ ทำให้คุณกังวลเรื่องการเงินน้อยลง

อ้างอิง : www.bloomberg.com