DSIไล่เช็กบิล ‘10นิติบุคคล’ รุกเขากระโดง
"ดีเอสไอ" เดินหน้าเช็กบิล "เขากระโดง" 5,083 ไร่ ไม่เว้น 10 นิติบุคคล-คนทั่วไปถือครองรวม 670 ไร่ พบ 12 หน่วยงานรัฐตั้งในพื้นที่พิพาท คาดที่ดินราชพัสดุ "อนุทิน" ปรามอย่าใช้อำนาจกลั่นแกล้งทางการเมือง ยุคนั่ง มท.1 ไม่เคยทำ
เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม มีรายงานภายในกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยความคืบหน้าในการสืบสวนเรื่องข้อร้องเรียนเกี่ยวกับการครอบครองและการออกเอกสารสิทธิในที่ดินบริเวณเขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์ ว่าที่ดินเขากระโดง ซึ่งเป็นของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จะดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมด 5,083 ไร่ ในจำนวนนี้หมายรวมถึงกรณีนิติบุคคลและบุคคลรวม 10 ราย ถือครองโฉนดที่ดิน 670 ไร่ นอกจากนี้ ในพื้นที่พิพาทดังกล่าว ยังมีหน่วยงานราชการจำนวน 12 แห่ง ตั้งอยู่ด้วยในพื้นที่ประมาณ 1,000 ไร่เศษ
“ย้อนกลับไปว่าที่ดินทั้งหมดนี้มีการให้ไว้แก่ รฟท.เพื่อสร้างทางรถไฟ เนื่องจากบริเวณดังกล่าวเป็นจุดที่มีหิน ซึ่งจะต้องทำทางรถไฟเพื่อที่จะได้เข้าไปเอาหินออกมา เพื่อจะได้สร้างทางรถไฟสายอีสานใต้ จึงมีการกันที่เอาไว้ โดย รฟท.ได้มีการไปซื้อที่จากชาวบ้าน 18 ราย ประกอบกับที่ท้ายๆ รวมแล้ว 5,083 ไร่ ซึ่ง รฟท.ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง กระทั่งมีบางคนเข้ามาเช่าที่ ซึ่ง รฟท.ให้เช่าที่ ขณะที่บางรายเข้ามายึดถือครอบครองไปเลย จึงมีการฟ้องขับไล่รื้อถอน ซึ่งถ้าดูตามที่เป็นข่าว แต่ละรายก็มีการร้องขอออกโฉนด ซึ่ง รฟท.ได้คัดค้าน จึงกลายเป็นคดีความตามที่ปรากฏว่า ทุกคดี รฟท.ชนะทั้งหมด จึงเป็นสาเหตุให้ในปัจจุบัน รฟท.ต้องการเอาที่ดินทั้งหมดที่ถูกนำไปใช้ประโยชน์เอาคืนกลับมา” แหล่งข่าวจากดีเอสไอระบุ
โดยก่อนหน้านี้ รฟท.ได้มีการขับไล่รื้อถอนที่ตั้งของชาวบ้านที่มาบุกรุกในพื้นที่ของการรถไฟฯ ไปบ้างแล้ว ซึ่งเป็นการบุกรุกโดยไม่มีเอกสารสิทธิ ในส่วนของคนที่แพ้คดีไปแล้วตามคำสั่งศาล รวม 41 ราย ต้องมีการใช้อำนาจบังคับคดีปิดหมายไปตามกฎหมาย และเสียค่าเสียหายให้ รฟท.ด้วย อย่างไรก็ดี เนื่องด้วยขณะนี้มีบางกลุ่มที่ยังคงมีเอกสารสิทธิ ต้องย้ำว่า ตราบใดที่บุคคลยังมีเอกสารสิทธิ พวกเขายังอยู่ใช้ประโยชน์ได้ตามกฎหมาย ตราบใดที่ยังไม่มีการเพิกถอนโฉนด
สำหรับหน่วยงานรัฐจำนวน 12 แห่งในพื้นที่พิพาทบริเวณเขากระโดง ประกอบด้วย 1.องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เสม็ด (ทางสาธารณประโยชน์ 5 สาย, ทำเลเลี้ยงสัตว์โคกใหญ่, วัดป่าศิลาทอง) 2.กรมทางหลวง (แขวงการทางบุรีรัมย์, หมวดทางหลวงบุรีรัมย์, ทางหลวง 2445, 226 โรงเรียนภัทรบพิตร) 3.ธนารักษ์พื้นที่บุรีรัมย์ (ที่ทำการ อบจ.บุรีรัมย์-อบจ.บุรีรัมย์, โรงเรียนบ้านเสม็ดโคกตาล, เรือนจำจังหวัดบุรีรัมย์-ราชทัณฑ์ จ.บุรีรัมย์, คลองชลประทาน-ชลประทาน จ.บุรีรัมย์) 4.เทศบาลตำบลอิสาณ (ทางสาธารณประโยชน์ 9 สาย, ห้วยสาธารณประโยชน์ 2 แห่ง, ที่สาธารณประโยชน์, ห้วยจรเข้มาก) 5.สำนักงานพระพุทธศาสนา จ.บุรีรัมย์ (วัดไทยเจริญ) 6.อำเภอเมืองบุรีรัมย์ (ที่สาธารณประโยชน์) 7.สถานีตำรวจทางหลวง 2 (กองกำกับการ 6 บุรีรัมย์) 8.สำนักงานขนส่งจังหวัดบุรีรัมย์ 9.สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย จ.บุรีรัมย์ 10.การประปาส่วนภูมิภาค จ.บุรีรัมย์ (วางท่อประปา 5 จุด) 11.องค์การโทรศัพท์ (NT) (ปักเสาพาดสาย, ดันท่อลอดร้อยสาย) และ 12.เทศบาลเมืองบุรีรัมย์ (ถนนเลียบทางรถไฟ)
อย่างไรก็ตาม เหตุผลที่ 12 หน่วยงานของราชการอยู่ในพื้นที่พิพาทได้นั้น คาดว่าอาจเป็นที่ดินราชพัสดุ ซึ่งดีเอสไออยู่ระหว่างดำเนินการตรวจสอบรายละเอียดข้อเท็จจริง
นอกจากนี้ ยังมีรายงานจากกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ว่าพื้นที่พิพาทบริเวณที่ดินเขากระโดง 5,083 ไร่ มีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 7,600 ราย โดยมี 7 หมู่บ้าน 4,700 ครัวเรือน ทั้งนี้ หากมองตัวเลข 5,083 ไร่ จะประกอบด้วย โฉนดที่ดิน 484 แปลง หนังสือรับรองการทำประโยชน์ 511 แปลง รวม 995 แปลง
ที่พรรคภูมิใจไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล อดีตรองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงการเพิกถอนสิทธิในที่ดินเขากระโดงของกรมที่ดิน ซึ่งขณะนี้มีข้อมูลอีกด้านออกมาว่า รฟท.ไม่มีแผนที่แนบหน้าท้ายพระราชกฤษฎีกาว่า สิ่งที่จะทำให้ถูกต้องและเชื่อถือได้ทุกฝ่ายคือกฎหมาย คนที่ครอบครองเขากระโดงไม่เคยพูดว่าจะไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย แต่ขอให้มีคำพิพากษาศาลให้ชัดเจน เป็นเอกฉันท์ไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ซึ่งหมายถึงทั้งสองฝ่าย ทั้งนี้ มีการตีความว่า หากศาลฎีกาตัดสินผูกพัน 35 ราย อีกฝ่ายบอกว่าจะเหมาทั้งหมดไม่ได้ เพราะต้องดำเนินการตามคณะกรรมการตามมาตรา 61 ซึ่งขอแก้ข่าวว่าตนไม่ได้เป็นคนตั้งคณะกรรมการชุดนี้
ส่วนกรณีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย เคยประกาศว่าจะเพิกถอนสิทธิในที่ดินเขากระโดงทันที ตั้งแต่วันที่ 2 ส.ค.ที่ผ่านมา แต่จนถึงวันนี้ยังไม่มีการเพิกถอนนั้น นายอนุทินกล่าวว่า ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย หากกฎหมายบอกว่าพรุ่งนี้รื้อถอนได้เลยต้องรื้อถอน ถ้ากฎหมายบอกว่ารื้อไม่ได้ต้องทำตามนั้น ไม่มีใครขัดขวางอยู่แล้ว มาถึงจุดนี้เป็นที่รับรู้ของสังคม สิ่งที่ดีที่สุดคือทำตามกฎหมาย ทุกคนมีสิทธิต่อสู้เพื่อพิทักษ์สิทธิของตัวเอง และหากศาลมีคำวินิจฉัยออกมาขอให้ทุกคนทำตาม
เมื่อถามว่า เรื่องเพิกถอนสิทธิในที่ดินเขากระโดงจะใช้เวลาอีกนานหรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า เคยบ่นสมัยเป็น มท.1 ว่าเรื่องนี้ลากยาวมาเป็นเวลา 20 ปี จะต้องมาตกที่สมัยตนด้วย ซึ่งตนพ้นตำแหน่งไปแล้วเป็นรัฐมนตรีคนใหม่ก็ยังไม่จบ โดยเรื่องดังกล่าวมีแนวทางของมันที่ต้องทำตาม
"จริงๆ เราไม่ควรเอาเรื่องทางการเมืองมาทำลายกัน เรื่องของบุคคลแต่ละคนก็คนละเรื่องกัน ทำไมเดี๋ยวนี้เป็นแบบนี้ผมก็ไม่ทราบ ซึ่งไม่เคยเจอแบบนี้ บทบาทของทุกคนก็มีคือการรักษาประโยชน์ให้ประเทศชาติ ทำหน้าที่ของตนเองไม่เอาเรื่องส่วนตัวออกมา เรื่องแบบนี้พรรคภูมิใจไทยไม่เคยทำ ผมอยู่กระทรวงมหาดไทยมา 2 ปี ก็ไม่เคยกลั่นแกล้งใคร และไม่เคยใช้อำนาจในการบริหารประเทศ ทำเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับการบริหารบ้านเมือง ผมไม่อยากให้การเมืองไทยเป็นแบบนี้ เพราะมันจะไม่จบไม่สิ้น จะมีแต่ความอาฆาตมาดร้ายต่อกัน และมานั่งแก้แค้นกันประเทศจะไปอย่างไร" นายอนุทินระบุ.