เวียดนามเปิดเสรี ‘ทองคำ’ ยกเลิกรัฐผูกขาด เอกชนมีสิทธิ์ผลิต-นำเข้า
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า “เวียดนาม” กำลังเปิดเสรีตลาดทองคำโดย ยกเลิกการผูกขาดของภาครัฐ ในการนำเข้า-ส่งออกทองคำดิบ รวมถึงการผลิตทองคำแท่งเพื่อเพิ่มปริมาณทองคำในตลาดและลดช่องว่างระหว่างราคาในประเทศกับราคาทองคำโลก
แถลงการณ์จากรัฐบาลระบุว่า บริษัทและธนาคารพาณิชย์ที่ได้รับอนุญาตจากธนาคารกลาง จะสามารถผลิตทองคำแท่งได้เอง ขณะเดียวกันธนาคารกลางเวียดนาม (State Bank of Vietnam) จะเป็นผู้รับผิดชอบในการออกใบอนุญาตสำหรับการนำเข้าทองคำดิบและการซื้อขายทองคำแท่งกับต่างประเทศ ซึ่งแตกต่างจากเดิมที่รัฐบาลเคยมีอำนาจควบคุมการผลิตและการค้าทองคำทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว
ในการประชุมเมื่อเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา โต เลิม เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามได้กล่าวว่า การที่ตลาดทองคำในประเทศไม่มีความยืดหยุ่นและไม่สอดคล้องกับตลาดโลก กำลังส่งผลกระทบในทางลบต่อเศรษฐกิจ เลิมจึงได้เรียกร้องให้มีมาตรการต่างๆ เพื่อเปิดตลาดทองคำกระตุ้นปริมาณทองคำในตลาด และจัดการกับการลักลอบขนทองคำข้ามพรมแดน
ฟาม ลู หง หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก SSI Securities Corp. กล่าวว่านี่เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ คือการเปลี่ยนจากตลาดที่รัฐเป็นผู้ควบคุมทั้งหมด ไปสู่ตลาดที่มีการควบคุมแต่เปิดให้มีการแข่งขันมากขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มความโปร่งใสและประสิทธิภาพของตลาด
ภายใต้กฎระเบียบใหม่ ธุรกิจที่จะได้รับใบอนุญาตผลิตหรือนำเข้าทองคำต้องมีคุณสมบัติตามที่ระบุคือ บริษัททั่วไป ต้องมีทุนจดทะเบียนอย่างน้อย 1 ล้านล้านดอง ส่วนธนาคารพาณิชย์ ต้องมีทุนจดทะเบียนอย่างน้อย 50 ล้านล้านดอง นอกจากนี้ การนำเข้าทองคำดิบจะต้องมีความบริสุทธิ์อย่างน้อย 99.5% และต้องใช้เพื่อวัตถุประสงค์ที่กฎหมายกำหนดเท่านั้น เช่น การผลิตทองคำแท่งและเครื่องประดับ
ราคาทองคำในเวียดนามตอนนี้ แพงกว่าราคาทองคำในตลาดโลกมาก ตามข้อมูลจากบริษัท Saigon Jewelry ในวันพุธ ราคาทองคำในเวียดนามอยู่ที่ 128 ล้านดอง หรือราว 4,857 ดอลลาร์
ทอง 1 ตำลึงในเวียดนามมีน้ำหนักเท่ากับประมาณ 37.5 กรัม ในขณะที่ทอง 1 ทรอยออนซ์มีน้ำหนัก 31.103 กรัมและเมื่อนำมาคำนวณราคาทองคำในเวียดนามต่อ 1 ทรอยออนซ์จะอยู่ที่ประมาณ 4,028 ดอลลาร์ ในขณะที่ราคาทองคำในตลาดโลกอยู่ที่ 3,377 ดอลลาร์ ทำให้ราคาทองในเวียดนามแพงกว่าตลาดโลกถึง 19%
ข้อมูลจากสภาทองคำโลก ระบุว่า ความต้องการทองคำของผู้บริโภคในเวียดนามได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก โดยอยู่ที่ 55.3 ตันในปีที่แล้ว เทียบกับเพียง 39.8 ตันในปี 2563
อ้างอิง Bloomberg