ครม. อนุมัติงบกลาง 1,700 ล้าน สร้างหลุมหลบภัย เยียวยาผู้อพยพ ครัวเรือนละ 2,000-5,000 บาท

นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เผย ภาพรวมการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การปะทะระหว่างไทยและกัมพูชาในพื้นที่ 7 จังหวัดชายแดนว่า นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้มีข้อสั่งการให้ดำเนินการช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ช่วงต้นของการปะทะ โดยได้ประสานอนุมัติขยายวงเงินทดรองจ่ายภายใต้อำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นจังหวัดละ 100 ล้านบาทโดยทันที ซึ่งได้ใช้เพื่อสนับสนุนการอพยพ การบริหารจัดการศูนย์พักพิงผู้อพยพ ซ่อมแซมหลุมหลบภัย ตลอดจนการส่งคนกลับบ้าน และคืนสภาพสังคมที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งขณะนี้มียอดเบิกจ่ายแล้วรวม 198,418,791 บาท

นายชนินทร์ กล่าวว่า ที่ผ่านมายังได้มีข้อสั่งการเพิ่มเติม เพื่อบรรเทาปัญหา และให้การช่วยเหลือพี่น้องประชาชน ที่กลับเข้ามาใช้ชีวิตตามปกติแล้วในอีก 4 เรื่องสำคัญ ได้แก่

1. อนุมัติเงินช่วยเหลือผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต สูงสุด 10 ล้านบาท จากงบกลางและเงินกองทุนฯ

2. งดเว้นการเรียกเก็บ ค่าน้ำ-ค่าไฟ เป็นเวลา 2 เดือน ระหว่าง ก.ค.-ส.ค.

3. ระดมความช่วยเหลือในการซ่อมแซมบ้านเรือนที่เสียหาย จากหน่วยงานต่างๆ ของภาครัฐ

4. ข้อสั่งการให้เบิกจ่ายเบี้ยเลี้ยงอาสาปฏิบัติงาน หรือ ชรบ. ที่ช่วยลาดตระเวนระหว่างช่วงอพยพ ในอัตรา 120-240 บาท/วัน ผ่านเงินทดลองจ่ายในอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัด

นอกจากนี้ ในวันนี้ คณะรัฐมนตรียังได้มีการอนุมัติการช่วยเหลือเพิ่มเติมในอีก 2 เรื่องสำคัญ ได้แก่

1. เงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากการกระทำของกองกำลังภายนอกประเทศ ที่อนุมัติการจ่ายรายครัวเรือน ครัวเรือนละ 2,000 บาท สำหรับการอพยพไม่เกิน 7 วัน และครัวเรือนละ 5,000 บาท เป็นเงินสด ผ่านระบบพร้อมท์เพย์ (prompt-pay) สำหรับการอพยพตั้งแต่ 8 วันขึ้นไป โดยใช้งบประมาณจาก งบกลาง เป็นเงิน 1,516 ล้านบาท

2. งบประมาณสำหรับสร้างบังเกอร์และหลุมหลบภัย 779 แห่ง และงบประมาณ ซ่อม/สร้าง หอกระจายข่าว 221 แห่ง ในพื้นที่ชายแดนกัมพูชา 7 จังหวัด สำหรับเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยใช้งบประมาณจากงบกลาง เป็นเงิน 194 ล้านบาท

“ขอให้พี่น้องประชาชนทุกท่านสบายใจว่า รัฐบาลมุ่งมั่นแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา อย่างเต็มที่มาโดยตลอด เพื่อให้พี่น้องกว่า 4,000 หมู่บ้านใน 7 จังหวัดกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติ และจะพยายามอย่างเต็มที่ต่อไป เพื่อเร่งรัดการช่วยเหลือในมิติต่างๆ ให้ถึงมือพี่น้องประชาชนโดยเร็วที่สุด“ นายชนินทร์ กล่าว