ตลาดรับสร้างบ้านหดตัวแรง 22% จากสารพัดปัจจัยเชิงลบ แนะผู้ประกอบการปรับตัวรับมือ
ตลาดรับสร้างบ้านหดตัวแรง 22% จากสารพัดปัจจัยเชิงลบ ทั้งภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัวช้า หนี้ครัวเรือนสูง แบงก์เข้มปล่อยกู้ ตลอดจนความขัดแย้งไทย-กัมพูชา พร้อมแนะผู้ประกอบการรับสร้างบ้านปรับกลยุทธ์การแข่งขันสู่การสร้างคุณค่าและคุณภาพของผลิตภัณฑ์และบริการ แทนการแข่งขันด้วยต้นทุนต่ำ
นายนิรัญ โพธิ์ศรี นายกสมาคม เปิดเผยว่าตลาดรับสร้างบ้านทั้งในเขตกรุงเทพฯ - ปริมณฑล และต่างจังหวัด พบว่ากำลังเผชิญกับภาวะชะลอตัวอย่างมีนัยสำคัญ โดยมูลค่าตลาดรวมของบ้านสร้างเองทั่วประเทศในปี 2568 คาดว่าจะปรับตัวลดลงจาก 130,000 ล้านบาท ในปี 2567 เหลือเพียง 110,000-120,000 ล้านบาท ขณะที่มูลค่าตลาดรับสร้างบ้านที่ดำเนินการโดยบริษัทรับสร้างบ้านก็ลดลงในทิศทางเดียวกัน โดยคาดว่ามูลค่าจะลดลงจาก 18,000 ล้านบาท ในปี 2567 เหลือเพียง 14,000 ล้านบาท หรือลดลง 22% นับเป็นการหดตัวที่แรงที่สุดอีกครั้งในรอบหลายปีที่ผ่านมา
ปัจจัยหลักที่ส่งผลให้ตลาดซบเซามาจากหลายสาเหตุทางเศรษฐกิจ ได้แก่ ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมที่ฟื้นตัวช้า ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง การที่สถาบันการเงินเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น และล่าสุดผลกระทบที่เกิดจากการปะทะกันของทหารไทย-กัมพูชา บริเวณชายแดนในจังหวัดภาคอีสานตอนล่างและจังหวัดชายแดนภาคตะวันออก
ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลโดยตรงต่อความเชื่อมั่นและกำลังซื้อของผู้บริโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มที่ต้องการสร้างบ้านขนาดเล็กซึ่งมีงบประมาณไม่เกิน 2 ล้านบาท และกลุ่มที่ต้องการสร้างบ้านขนาดใหญ่พิเศษที่มีราคาสูงกว่า 10 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าทั้งสองกลุ่มนี้จะได้รับผลกระทบและมีสัดส่วนลดลงมากที่สุด
แม้ตลาดโดยรวมจะอยู่ในภาวะชะลอตัว แต่การวิเคราะห์อย่างละเอียดของสมาคมฯ ชี้ให้เห็นว่า ความต้องการของผู้บริโภคในการสร้างบ้านนั้นไม่ได้หายไปอย่างสิ้นเชิง แต่เป็นการชะลอการตัดสินใจออกไป การที่ผู้บริโภคยังคงให้ความสำคัญกับการเลือกใช้วัสดุ
สำหรับงานโครงสร้างที่มีคุณภาพไว้ตามเดิม บ่งชี้ว่าความต้องการในคุณค่าและคุณภาพของที่อยู่อาศัยยังคงอยู่ เพียงแต่กำลังซื้อที่ลดลงและภาระหนี้ครัวเรือน ทำให้ต้องเลื่อนแผนการลงทุนออกไปก่อน สถานการณ์นี้แสดงให้เห็นว่าอุปสงค์ที่กำลังจะกลับมาในอนาคตจะไม่ใช่แบบเดิมอีกต่อไป แต่จะเป็นอุปสงค์ที่ให้ความสำคัญกับความมั่นคงและคุณภาพในระยะยาวมากขึ้น
นอกจากนี้โครงสร้างประชากรและลักษณะครัวเรือนของไทยกำลังเปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งส่งผลต่อความต้องการที่อยู่อาศัยในปัจจุบันและอนาคตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยโครงสร้างครอบครัวไทยที่พบมากที่สุดคือครอบครัวเดี่ยวซึ่งมีสัดส่วนสูงถึง 53.65% ในปี 2565 ในขณะที่ครอบครัวขยายมีสัดส่วนเพียง 13.15% นอกจากนี้ ขนาดครัวเรือนเฉลี่ยทั่วประเทศก็มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยอยู่ที่ประมาณ 3.2 คนต่อหนึ่งครัวเรือน ในขณะเดียวกัน ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างเต็มรูปแบบ โดยมีจำนวนผู้สูงอายุมากถึง 12.5 ล้านคน สวนทางกับอัตราการเกิดที่ติดลบนับตั้งแต่ปี 2564
ขณะที่กลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการสร้างบ้านเองส่วนใหญ่ยังคงเป็นกลุ่มที่มีที่ดินเปล่าเป็นของตนเอง โดยพฤติกรรมของผู้บริโภคกลุ่มนี้มีความละเอียดอ่อน และมีการปรับเปลี่ยนอย่างต่อเนื่อง จากสภาพเศรษฐกิจที่ผันผวน ทั้งนี้พบว่าผู้บริโภคกลุ่ม Gen Y และ Gen Z ซึ่งเป็นกลุ่มประชากรขนาดใหญ่ ที่เติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยีดิจิทัล แม้ว่ากลุ่มนี้จะมีความต้องการที่อยู่อาศัยเพื่อรองรับไลฟ์สไตล์แบบใหม่ เช่น การทำงานที่บ้าน แต่กลับเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจมากที่สุด เนื่องจากเป็นกลุ่มที่กำลังสร้างตัวและมีรายได้ยังไม่สูงมากนัก ส่งผลให้หลายคนต้องชะลอการตัดสินใจสร้างบ้านออกไป
นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของราคาวัสดุก่อสร้างทำให้ผู้บริโภคต้องปรับเปลี่ยนแผน เพื่อควบคุมงบประมาณ การปรับตัวส่วนใหญ่ทำได้โดยการเลือกปรับลดวัสดุตกแต่ง หรือการออกแบบบางส่วนที่มีราคาแพงลง แต่ยังคงเลือกใช้วัสดุสำหรับงานโครงสร้างไว้ตามเดิม การกระทำนี้สะท้อนให้เห็นว่าในสถานการณ์ที่ต้องประหยัดค่าใช้จ่าย ผู้บริโภคยังคงให้ความสำคัญกับความมั่นคง และคุณภาพของบ้านในระยะยาวเหนือกว่าความสวยงามภายนอก ซึ่งเป็นสัญญาณที่สำคัญสำหรับผู้ประกอบการ
สำหรับผู้บริโภคที่เลือกสร้างบ้านเอง การบริหารงบประมาณเป็นปัจจัยสำคัญอันดับต้น ๆ โดยงบประมาณการก่อสร้างส่วนใหญ่อยู่ที่ 2-5 ล้านบาท สิ่งที่น่าสนใจคือผู้บริโภคในกลุ่มนี้มีสัดส่วนสูงมากกว่า 40% ที่ไม่ต้องการใช้สินเชื่อจากสถาบันการเงิน โดยใช้เงินสดในการก่อสร้างบ้านเอง
ขณะที่อีกกว่า 32% ยังคงมีความต้องการใช้สินเชื่อ อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ล่าช้าและนโยบายของภาครัฐที่ไม่ชัดเจน ส่งผลให้ความเชื่อมั่นในการใช้จ่ายหรือลงทุนเรื่องที่อยู่อาศัยลดลง ทำให้ผู้บริโภคมีความอ่อนไหวต่อราคาและต้นทุนค่าก่อสร้างที่สูงขึ้น และต้องปรับแผนการก่อสร้างเพื่อควบคุมงบประมาณตามที่กล่าวไปแล้วข้างต้น
ทั้งนี้ข้อมูลข้างต้นชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของปัจจัยขับเคลื่อนการตัดสินใจ โดยในอดีต (ปี 2560) ปัจจัยด้านราคาที่ระบุว่า "ราคาถูกกว่าซื้อโครงการบ้านจัดสรร" เป็นเหตุผลอันดับที่ 3 ที่ผู้บริโภคเลือกสร้างบ้านเอง ซึ่งสะท้อนถึงการให้ความสำคัญกับต้นทุนในขณะนั้น แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความน่าเชื่อถือของผู้ประกอบการและแบรนด์กลับเข้ามามีบทบาทที่สำคัญมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้บริโภค Gen X และ Gen Y ที่ต้องการใช้บริการกับผู้ประกอบการสร้างบ้านที่มีประวัติและชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ
จุดเปลี่ยนที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ ผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวล่าสุด ซึ่งกระทบต่อความมั่นใจของผู้บริโภคอย่างรุนแรง ผลสำรวจล่าสุดเผยว่ากว่า 90% ของผู้บริโภคต้องการเลือกแบรนด์ที่มีมาตรฐานความปลอดภัยและใช้ผู้ประกอบการสร้างบ้านที่น่าเชื่อถือ และมากกว่า 50% พร้อมที่จะเพิ่มงบประมาณในการสร้างบ้านใหม่ เพื่อยกระดับความปลอดภัยของโครงสร้าง ซึ่งชี้ให้เห็นว่าปัจจัยด้านความน่าเชื่อถือและความปลอดภัยของโครงสร้าง ได้กลายเป็นปัจจัยขับเคลื่อนอันดับหนึ่งในการตัดสินใจของผู้บริโภคในปัจจุบัน แทนที่การแข่งขันด้านราคาอย่างที่เคยเป็นมาในอดีต
การที่ผู้บริโภคเต็มใจที่จะจ่ายเงินเพิ่มขึ้น เพื่อความปลอดภัยและคุณภาพ สะท้อนถึงการเปลี่ยนมุมมองจากการมองบ้านเป็นเพียง "สินทรัพย์" ที่มีต้นทุนต่ำ ไปสู่การมองบ้านเป็น "แหล่งพักพิงที่ปลอดภัย" ที่มีคุณค่าในระยะยาว ผู้ประกอบการสร้างบ้านที่สามารถสร้างความเชื่อมั่นในด้านความแข็งแรงของโครงสร้าง มาตรฐานการก่อสร้างที่เหนือกว่า และการรับประกันที่ชัดเจนจะมีความได้เปรียบในการแข่งขันอย่างมากในตลาดปัจจุบัน
ทางด้านนายนิรัญ นายกสมาคม ชี้ให้เห็นอีกว่า เทรนด์บ้านยั่งยืนและประหยัดพลังงาน กำลังได้รับความสนใจอย่างก้าวกระโดดจากผู้บริโภค โดยผลสำรวจล่าสุดพบว่า ผู้บริโภคกว่า 90% ให้ความสำคัญกับบ้านที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และกว่า 80% ยินดีที่จะจ่ายเงินเพิ่มขึ้นเพื่อบ้านที่มีคุณสมบัติเหล่านี้ การตัดสินใจนี้ได้รับแรงผลักดันจากความตระหนักต่อภาวะโลกร้อน (Climate Change) ที่มากขึ้น รวมถึงความต้องการที่จะลดภาระค่าใช้จ่ายในระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้น
อย่างไรก็ดีนายสิทธิพร สุวรรณสุต กรรมการกิตติมศักดิ์ สมาคมไทยรับสร้างบ้าน กล่าวเสริมว่า จากพฤติกรรมและความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภค ผู้ประกอบการในตลาดรับสร้างบ้านจึงควรปรับกลยุทธ์การแข่งขันมาสู่การสร้างคุณค่าและคุณภาพของผลิตภัณฑ์และบริการ แทนการแข่งขันด้วยต้นทุนต่ำและราคาต่ำที่ไม่ตอบโจทย์ผู้บริโภค หรือยกระดับคุณภาพการอยู่อาศัยได้ตามต้องการ ซึ่งแนวทางที่ควรนำมาใช้ในการปรับตัวและแข่งขัน
รวมไปถึงกลยุทธ์การสื่อสารและการตลาด การสร้างแบรนด์ให้เป็นที่ยอมรับและมีประวัติที่ดีจึงเป็นสิ่งสำคัญ การใช้ช่องทางดิจิทัลและโซเชียลมีเดียในการนำเสนอผลงานและรีวิวจากลูกค้าจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นได้เป็นอย่างดี พร้อมนำเสนอโซลูชันแบบครบวงจร ครอบคลุมตั้งแต่การออกแบบ การเลือกวัสดุ การขอสินเชื่อ ไปจนถึงการก่อสร้างและบริการหลังการขาย จะช่วยลดความยุ่งยากและความกังวลให้กับผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในขณะทีโอกาสของตลาดบ้านสำหรับผู้สูงอายุมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากโครงสร้างประชากรที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ด้วยการนำเสนอวัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและเทคโนโลยี Smart Home จะช่วยสร้างความแตกต่างให้กับผลิตภัณฑ์และดึงดูดลูกค้ากลุ่มที่ยินดีจ่ายเพื่อคุณค่าและนวัตกรรม
ตลอดจนความต้องการบ้านแนวราบในทำเลชานเมืองยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการแพร่ระบาดของโรคและเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ทำให้ผู้บริโภคบางส่วนเปลี่ยนใจจากคอนโดมิเนียมในเมืองมาสนใจที่อยู่อาศัยแนวราบมากขึ้น
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ตลาดรับสร้างบ้านหดตัวแรง 22% จากสารพัดปัจจัยเชิงลบ แนะผู้ประกอบการปรับตัวรับมือ
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
- Website : https://www.khaosod.co.th