ไทยได้เปรียบโครงสร้างภาษีสหรัฐฯ หนุนส่งออก-ลงทุนฟื้นตัว
นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวภายหลังร่วมบรรยายในโครงการพัฒนาศักยภาพผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ (พศส.) ปี 2568 รู้ทันโลกการเงิน ทลายหนี้สู่ความยั่งยืน ซึ่งจัดโดยสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ร่วมกับ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยถึงการที่ได้รับการจัดเก็บภาษีนำเข้าสหรัฐ ในอัตราร้อยละ 19 เป็นอัตราที่น่าพึงพอใจ และอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับประเทศคู่แข่งทางการค้าในภูมิภาค และจากการที่ประเทศไทยได้รับอัตราภาษีที่ต่ำกว่าเวียดนามนั้น สะท้อนถึงความสามารถในการผลิตในประเทศ (Local Production Content) ถือเป็นข้อได้เปรียบเชิงโครงสร้าง เพราะในมาตรการภาษีใหม่ของสหรัฐฯ ได้กำหนดอัตราที่แตกต่างกันตามระดับ "Transshipment" หรือสัดส่วนสินค้าที่ไม่ได้ผลิตในประเทศนั้นๆ หากสินค้ามีส่วนประกอบที่ผลิตจากประเทศที่สามเป็นหลัก จะถูกเก็บภาษีในอัตราสูง ในขณะที่ไทยมีห่วงโซ่การผลิต (Supply Chain) ที่ยาวและลึกกว่าคู่แข่ง เช่น เวียดนาม ทำให้สินค้าไทยมีคุณสมบัติเข้าเกณฑ์ที่ได้รับอัตราภาษีต่ำกว่า
ประเด็นสำคัญอีกอย่างคือ การใช้เกณฑ์ “Regional Value Content” (RVC) ซึ่งจะมีการกำหนดเส้นแบ่งของสัดส่วนวัตถุดิบและการผลิตในประเทศ หากสินค้าผลิตในประเทศในสัดส่วนที่สูงกว่าค่ากลาง จะได้ภาษีในเรทต่ำ แต่หากต่ำกว่าก็จะถูกเก็บภาษีในเรทสูง ตรงนี้ประเทศไทยมีจุดแข็ง เพราะมีอุตสาหกรรมพื้นฐานแข็งแกร่ง และมีแนวโน้มที่จะยกระดับห่วงโซ่การผลิตให้มีมูลค่าเพิ่มในประเทศมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ไทยได้เปรียบในระยะยาว
อย่างไรก็ตาม ความเปลี่ยนแปลงในเรื่องภาษีนี้ ทำให้ข้อได้เปรียบเสียเปรียบทางการค้าในด้านต้นทุนภาษีกลับสู่จุดที่เสมอกัน คือ ไม่มีประเทศใดได้เปรียบหรือเสียเปรียบอย่างชัดเจน แต่ไทยยังมี ความได้เปรียบเชิงคุณภาพ เพราะมีการผลิตจริงในประเทศมากกว่า และมีต้นทุนในระดับที่แข่งขันได้ โดยเชื่อว่าจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศได้มากขึ้นในระยะถัดไป
พร้อมกันนี้ได้คาดการณ์ GDP โดยขณะนี้หลายสำนักทั้งในและต่างประเทศเริ่มมีการปรับประมาณการ GDP ของไทยเพิ่มขึ้น เช่น สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง หรือ สศค. ปรับจากร้อยละ 2.1 เป็นร้อยละ 2.2 ขณะที่ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ปรับจาก ร้อยละ 1.8 เป็นร้อยละ 2.0 โดยเชื่อว่าในช่วงกลางเดือนนี้ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สศช.จะประกาศตัวเลข GDP ไตรมาส 2 ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะออกมาดี และสอดคล้องกับสัญญาณทางเศรษฐกิจอื่นๆ โดยเฉพาะการส่งออกที่ปรับตัวดีขึ้น และการค้าที่ได้รับผลกระทบจากภาษีที่น้อยกว่าที่กังวลไว้
นอกจากนี้ยังมีภาคอุตสาหกรรมที่ยังได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีในครั้งนี้ รัฐบาลอยู่ระหว่างการจัดทำ มาตรการซอฟต์โลน เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ โดยอยู่ในขั้นตอนการประเมินขนาดของผลกระทบ เพื่อให้มาตรการที่ออกมานั้นมีขนาดเหมาะสม ไม่มากหรือน้อยเกินไป คาดว่าจะสามารถเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีได้ในระยะอันใกล้
แต่ในระหว่างนี้จะมี ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Bank) ได้ออกมาตรการดูแลผู้ส่งออกที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากตลาดสหรัฐฯ อาทิ การพักชำระหนี้ การปรับลดดอกเบี้ย การเพิ่มวงเงินหมุนเวียน รวมถึงสนับสนุนผู้ประกอบการในการเปิดตลาดใหม่ๆ เช่น สินเชื่อสำหรับการโรดโชว์ การจัดแสดงสินค้า และการประกันการส่งออก เพื่อเสริมความมั่นใจให้ภาคเอกชนสามารถขยายตลาดได้อย่างต่อเนื่อง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ภาคเอกชนขอบคุณรัฐบาลเจรจาภาษีสหรัฐฯ 19% ตอกย้ำศักยภาพการค้าไทย
- สภาอุตสาหกรรมฯ-สภาหอการค้าฯ-ซีพี ชื่นชมรัฐบาลปลดล็อกภาษีสหรัฐ สร้างความมั่นใจเศรษฐกิจไทยเดินหน้า
- "พิชัย" ปิดดีลภาษีสหรัฐฯ ร้อยละ 19 เก็บจริง 7 ส.ค.นี้
- "พิชัย" เปิดรายละเอียดดีล"ภาษีทรัมป์" 19% ซื้อพลังงาน-เครื่องบิน-เปิดตลาดให้สหรัฐฯ ยันไม่มีแลกความมั่นคง
- ภาษีใหม่สหรัฐฯ 19% ไทยรอดภาษีโหด แต่ยังต้องเร่งปรับตัว