“สราวุธ ทรงศิวิไล”จากขรก.สายทางหลวง สู่ตุลาการศาล รธน. ป้ายแดง

การโหวตของวุฒิสภา วันที่ 22 กรกฎาคม 2568 ส่งผลให้ นายสราวุธ ทรงศิวิไล ได้รับความเห็นชอบให้ดำรงตำแหน่ง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ คนล่าสุด ด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น 143 เสียง จาก 200 เสียงของสมาชิกวุฒิสภา ถือเป็นการก้าวกระโดดทางอาชีพที่น่าสนใจอย่างยิ่งของอดีตข้าราชการประจำสายงานโยธา ที่กำลังจะก้าวเข้าสู่เวทีใหญ่ด้านนิติรัฐของประเทศ

"สราวุธ ทรงศิวิไล" เขามีประสบการณ์อย่างไรจึงก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งตุลาการแห่งองค์กรตุลาการสูงสุดด้านรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีอำนาจชี้ขาด “ความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ” ของกฎหมายและการกระทำขององค์กรรัฐในระดับสูงที่สุดของประเทศ

จากวิศวกรกรมทางหลวงสู่ตุลาการศาลฯ

สราวุธ ทรงศิวิไล เกิดเมื่อปี 2507 ปัจจุบันอายุ 61 ปี จบการศึกษาปริญญาตรีด้านวิศวกรรมโยธา จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และศึกษาต่อระดับปริญญาโท Master of Science in Civil Engineering จาก University of Southern California ประเทศสหรัฐอเมริกา

เริ่มต้นรับราชการในตำแหน่งวิศวกรโยธาปฏิบัติการที่ กรมทางหลวง และเติบโตอย่างต่อเนื่องในสายงานด้านโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะระบบทางหลวงและการขนส่งของประเทศ

ตลอดเส้นทางราชการ เขาเคยดำรงตำแหน่งสำคัญ อาทิ

ผู้อำนวยการสำนักงานสำรวจและออกแบบ

รองอธิบดีกรมทางหลวง

อธิบดีกรมทางหลวง (ปี 2562–2564)

อธิบดีกรมการขนส่งทางราง กระทรวงคมนาคม (ระยะสั้น ก่อนเกษียณอายุราชการในปี 2565)

ด้วยภาพลักษณ์ของข้าราชการมืออาชีพ สายงานโยธา ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองโดยตรง ชื่อของ “สราวุธ” จึงถูกมองว่าเป็นผู้มีประวัติดี มีประสบการณ์เชิงบริหาร และมีความเข้าใจโครงสร้างระบบราชการไทยอย่างลึกซึ้ง

โพรไฟล์แข็งแต่ไร้ประสบการณ์สายกฎหมาย

แม้เส้นทางอาชีพของ นายสราวุธ จะเต็มไปด้วยบทบาทในแวดวงคมนาคม โครงสร้างพื้นฐาน และงานโยธา แต่ก็มีคำถามจากหลายฝ่ายว่า การที่เขาไม่เคยผ่านประสบการณ์ตรงด้าน “กฎหมายรัฐธรรมนูญ” หรือ การทำงานในระบบตุลาการมาก่อน จะเหมาะสมเพียงใดกับตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์กรตุลาการที่ต้องอาศัยดุลยพินิจทางกฎหมายขั้นสูง

อย่างไรก็ดี จากการพิจารณาโดยคณะกรรมาธิการตรวจสอบประวัติ ความประพฤติ และจริยธรรม ของวุฒิสภา พบว่า ไม่มีประเด็นที่น่ากังวลในด้านจริยธรรม หรือการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ขณะที่คะแนนเสียงจาก สว. ก็สะท้อนความเชื่อมั่นในความเป็นกลางและความสามารถด้านการบริหารของเขา

ศาลรัฐธรรมนูญกับการเมือง

การเข้ามาของ สราวุธ ทรงศิวิไล ในฐานะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคนใหม่ เกิดขึ้นในห้วงเวลาที่ศาลรัฐธรรมนูญ กำลังอยู่ภายใต้แรงกดดันทางสังคมและการเมือง จากการพิจารณาคดีสำคัญหลายคดี อาทิ

• คดีคุณสมบัติของ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
• คดีเกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา (ฮั้ว สว.) ที่ถูกกล่าวหาไม่ชอบธรรม
• คดีแทรกแซงการสอบ ฮั้ว สว.
• คดีแก้รัฐธรรมนูญ ต้องทำประชามติกี่ครั้ง
• คดีการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2567 (มาตรา 272 ว่าด้วยอำนาจ ส.ว. โหวตนายกฯ)
• คดีการถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบของ ครม. แพทองธาร

ด้วยสถานการณ์ดังกล่าว บทบาทของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ จึงไม่ใช่เพียงการ “วินิจฉัยตามตัวบท” เท่านั้น แต่ยังต้องมีวิสัยทัศน์ด้านรัฐธรรมนูญ เข้าใจเจตนารมณ์ของกฎหมายสูงสุด และสามารถรักษาดุลยภาพของการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยให้มั่นคง

แม้ “สราวุธ ทรงศิวิไล” จะเป็นข้าราชการเกษียณที่มีภาพลักษณ์ดี ไม่มีข้อครหาเรื่องทุจริต และมีประสบการณ์บริหารมากว่า 30 ปี แต่บทบาทใหม่ในฐานะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ย่อมแตกต่างจากโลกของงานโยธาโดยสิ้นเชิง

เขาจะต้องเผชิญกับการตัดสินใจที่ส่งผลทางการเมือง เศรษฐกิจ และอนาคตของประเทศ ซึ่งต้องอาศัยทั้งความกล้าหาญ ความรู้ทางรัฐธรรมนูญ และ ดุลยพินิจอย่างรอบคอบ

การจับตาท่าทีของ นายสราวุธ ในการร่วมตัดสินคดีสำคัญ จึงเป็นอีกประเด็นที่ผู้ติดตามการเมืองไทยในระยะเปลี่ยนผ่านนี้ ไม่อาจมองข้าม

รายงานพิเศษโดย ทีมข่าวการเมือง ฐานเศรษฐกิจ