TOG เลนส์สายตาโต ตั้งฐานผลิตเวียดนาม
หุ้นวิชั่น
อัพเดต 2 วันที่แล้ว • เผยแพร่ 8 ชั่วโมงที่ผ่านมา • HoonVision | หุ้นวิชั่น - หุ้น ข่าวหุ้น หุ้นไทยวันนี้ หุ้นวันนี้ หุ้นเด่น วิเคราะห์หุ้น ธุรกิจ การเงิน เศรษฐกิจ การลงทุน ดัชนีราคาหุ้นหุ้นวิชั่น – TOG ตลาดเลนส์สายตาทั่วโลกยังโตต่อเนื่อง ผู้มีปัญหาสายตากว่า 4 พันล้านคน ดันดีมานด์พุ่ง รักษารายได้ปีนี้ทรงตัวจากปีก่อนที่ 3.5 พันล้านบาท เล็งตั้งโรงงานเวียดนามลดภาษีสหรัฐฯ เสริมศักยภาพแข่งขัน โบรกชี้ ราคาหุ้น P/E ต่ำสุดในรอบปี หุ้นมีอัพไซด์ แถมเงินปันผลจูงใจกว่า 6% ราคาเป้าหมายที่ 10.50 บาท
นายธรณ์ ประจักษ์ธรรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยออพติคอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TOG เปิดเผยว่า มูลค่าตลาดเลนส์สายตาทั่วโลกอยู่ในระดับหมื่นล้านเหรียญสหรัฐ โดยตลาดใหญ่ที่สุดคือสหรัฐอเมริกา คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 40% ของตลาดทั้งหมด และมีอัตราการเติบโตต่อเนื่องราว 7-8% ต่อปีทั้งนี้ หากพิจารณาจากข้อมูลประชากรศาสตร์ พบว่าจากประชากรโลกกว่า 8,000 ล้านคน มีผู้ที่มีปัญหาสายตาสูงถึง 4,000 ล้านคน ในจำนวนนี้ราว 2,500 ล้านคนสามารถเข้าถึงเลนส์สายตาที่ถูกต้องได้แล้ว แต่ยังมีประชากรอีกกว่า 1,000-1,500 ล้านคนที่ยังไม่สามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ได้ ซึ่งถือเป็นโอกาสในการเติบโตของตลาดเลนส์สายตาทั่วโลกในอนาคต
ปัจจุบัน บริษัทมีการส่งออกเลนส์สายตาไปยังกว่า 95% ของยอดขายทั้งหมด ครอบคลุมกว่า 50 ประเทศทั่วโลกใน 6 ทวีป โดยมีสัดส่วนการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาประมาณ 20% ซึ่งทำให้บริษัทไม่สามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบจากมาตรการจัดเก็บภาษีของสหรัฐฯ ได้
ทั้งนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการหารือกับคณะกรรมการบริหารเพื่อทำความเข้าใจและประเมินผลกระทบจากมาตรการดังกล่าว โดยบริษัทประเมินว่าสหรัฐฯ มีแนวโน้มใช้มาตรการภาษีเพื่อปรับโครงสร้างเศรษฐกิจในประเทศอย่างแน่นอน ซึ่งขณะนี้มีการประกาศอัตราภาษีแล้ว โดยประเทศที่เป็นมิตรกับสหรัฐฯ จะถูกจัดเก็บในอัตราที่ต่ำกว่า สำหรับประเทศในอาเซียน เช่น เวียดนาม มีอัตราการจัดเก็บภาษีที่ 20% ขณะที่ประเทศไทยได้รับหนังสือแจ้งอัตราการจัดเก็บภาษีในระดับกว่า 36% อย่างไรก็ตาม ยังมีกลุ่มสินค้าที่อยู่ระหว่างการเจรจา ซึ่งหากประเทศไทยสามารถปรับตัวและเจรจาได้สำเร็จ อัตราการจัดเก็บภาษีอาจลดลง แม้อาจจะไม่ต่ำเท่ากับเวียดนามก็ตาม
โดย บริษัทจึงมีแผนขยายฐานการผลิตไปยังต่างประเทศ โดยมองว่าเวียดนามเป็นประเทศที่มีศักยภาพสูงในการลงทุน เนื่องจากเวียดนามมีอัตราการจัดเก็บภาษีจากสหรัฐฯ ในระดับที่ต่ำกว่าไทย ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบด้านต้นทุนและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของบริษัทในระยะยาว
ขณะเดียวกัน บริษัทยังมีแผนขยายธุรกิจไปยังประเทศอื่น ๆ เพื่อกระจายความเสี่ยงและบริหารพอร์ตรายได้ โดยมองว่าประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกามีศักยภาพในการเติบโตสูง และจะเป็นตลาดสำคัญในการขยายฐานลูกค้าของบริษัทในอนาคต ซึ่งส่วนนี้จะแผนระยะถัดไป
ดังนั้น ในปีนี้ บริษัทคาดว่าจะรักษาระดับรายได้ใกล้เคียงกับปีก่อน ซึ่งอยู่ที่ 3,516.50 ล้านบาท โดยในไตรมาส 1/2568 บริษัทมีรายได้แล้วกว่า 901.47 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทมองว่าสถานการณ์ภาษีในสหรัฐฯ เป็นเพียงความผันผวนระยะสั้น และเชื่อว่าจะสามารถบริหารจัดการได้ พร้อมคาดว่าการเติบโตของรายได้จะกลับมาอยู่ในระดับปกติราว 5-8% ต่อปีสำหรับระยะยาว บริษัทมองว่าการมีฐานการผลิตในต่างประเทศเพิ่มเติมจะช่วยเสริมความมั่นคงและเพิ่มศักยภาพการเติบโต จากโอกาสในตลาดโลกที่ยังมีอยู่มาก
นายมงคล พ่วงเภตรา รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนหลักทรัพย์ บริษัท ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) มองอุตสาหกรรมเลนส์สายตาในประเทศไทย ภาพของการแข่งขันไม่รุนแรง เนื่องด้วยเป็นลักษณะการช่วยเหลือกันและกัน เช่น ใครเก่งผลิตเลนส์รูปแบบไหนก็ผลิตอันนั้น แต่หากมองในระดับโลก คาดว่าการแข่งขันที่ปัจจุบันมี เพียงประเทศจีน กับไทย ที่มีฐานการผลิตเลนส์ใหญ่ๆ ก็อาจจะมีเวียดนามเข้ามาแข่งขันเพิ่มด้วย หลังจากที่เวียดนามโดนเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐในอัตรา 20% ซึ่งไทยอาจจะต้องย้ายฐานการผลิตไปที่เวียดนาม เพื่อให้สามารถแข่งขันได้
ด้านตัวเลขทางการเงินของ TOG ซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 20% และอัตรากำไรสุทธิที่ 10% ถือว่าทำได้ค่อนข้างดี เนื่องด้วยบริษัทมีกำลังการผลิตประมาณ 50% มาจากเลนส์ RX ที่มีมาร์จิ้นอยู่ราว 30% ขณะที่มาร์จิ้นของเลนส์ทั่วไป อยู่ประมาณไม่เกิน 20%
ทั้งนี้ได้คาดการณ์ผลการดำเนินงานของ TOG ในปี 25568 จะมีรายได้เติบโตราว 6% จากปีก่อน และปี 2569 คาดโตราว 9% โดยอยู่ระหว่างทบทวนเป้าหมายรายได้และกำไรใหม่ เนื่องจากประมาณการณ์ดังกล่าวยังไม่รวมผลกระทบจากเรื่องของภาษีนำเข้าของสหรัฐ ซึ่งต้องไปดูในเรื่องของการผลักภาระภาษีเป็นอย่างไร หากไทยโดนเรียกเก็บภาษีที่ 36% แล้วมีการแบ่งภาระภาษีกันคนละครึ่ง เบื้องต้นคาดว่าจะกระทบต่อกำไรราว 3-4% นอกจากนี้ยังต้องดูในเรื่องของยอดขายจะปรับลดลงหรือไม่ ตลอดจนภาพการแข่งขันด้วย
อย่างไรก็ตามมองผลกระทบจากเรื่องของภาษีสหรัฐ คาดมีน้อยกว่า ผลกระทบที่เกิดจากยอดขายจะเพิ่มหรือลดลง หาก TOG สามารถแข่งขันได้ ยอดขายไม่ลด ผลกระทบจากภาษีคาดจะจำกัด หรือกระทบไม่เกิน 20 ล้านบาท หากเทียบกับกำไรที่ระดับ 400 ล้านบาท
“ในปี 2566-2567 เราเริ่มเห็นพัฒนาการในด้านรายได้ และกำไรของ TOG รวมถึงราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นไปกว่า 10 บาท โดยจากการศึกษาตัวเลขทางการเงินต่างๆ ถือว่าสอบผ่าน แต่จะมีปัญหาในช่วงปีที่ผ่านมา จากปัจจัยทางเศรษฐกิจ ที่กระทบต่อราคาหุ้น และผลประกอบการ อย่างไตรมาส 1/2568 ที่ปรับตัวลงมาเล็กน้อย แต่โดยรวมแล้ว เรายังเชื่อว่า ผลประกอบการยังดี” นายมงคล กล่าว
ด้านราคาหุ้น TOG มีการปรับตัวลงต่อเนื่อง โดยมีราคาหุ้นซื้อขายที่ P/E ค่อนข้างต่ำ คือ 8 เท่า หรือแทบจะต่ำที่สุด เมื่อเทียบกับอดีต ทำให้มองว่าราคาหุ้นปัจจุบันอยู่ในโซนที่ไม่แพง หรือที่ประมาณ 7 บาท/หุ้น ยังมีอัพไซด์ จากราคาเป้าหมายที่ 10.50 บาท หากตลาดดี หรือสถานการณ์โดยรวมดีขึ้น ราคาหุ้นก็น่าจะมีโอกาสปรับตัวขึ้นมาได้ นอกจากนี้ผลตอบแทนด้านเงินปันผล ก็ค่อนข้างดีที่ 0.50-0.60 บาท/ปี หรือ Yield ประมาณ 6%