"มาริษ" ย้ำจุดยืนแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ด้วยสันติวิธี ไม่ตอบโต้ผ่านโซเชียล
จากกรณีเหตุปะทะกันระหว่างทหารไทยและทหารกัมพูชา บริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา ได้สร้างความตึงเครียดในความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศเพื่อนบ้าน โดยเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคมที่ผ่านมา นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมด้วยนายเบญจมินทร์ สุกาญจนัจที อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ได้ร่วมกันให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ “NBT มีทางออก” โดยชี้แจงจุดยืนของรัฐบาลไทยอย่างชัดเจนว่า การดำเนินการที่ผ่านมาของฝ่ายไทยเป็นไปตามสิทธิในการป้องกันตนเองและปกป้องอธิปไตยของประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับกฎบัตรสหประชาชาติและกฎหมายระหว่างประเทศทุกประการ
ขณะนี้แม้จะยังมีแรงสั่นสะเทือนจากเหตุการณ์ดังกล่าวอยู่บ้าง แต่ภาพรวมของสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาก็ได้คลี่คลายลงในระดับหนึ่ง โดยไม่มีเหตุปะทะเกิดขึ้นอีก และทั้งสองฝ่ายได้มีการปรับกำลังเพื่อลดการเผชิญหน้า พร้อมเดินหน้าหาทางออกในเชิงสร้างสรรค์ร่วมกัน โดยความคืบหน้าที่สำคัญคือ การประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ครั้งที่ 6 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 14-15 มิถุนายน 2568 และประสบความสำเร็จในการกำหนดกรอบการทำงานร่วมกันของเจ้าหน้าที่เทคนิคจากทั้งสองประเทศ เพื่อดำเนินการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนร่วมกันต่อไป
ไทยยืนยันจุดยืนการใช้กลไกทวิภาคีในการเจรจาเป็นหลัก ซึ่งถือเป็นแนวทางที่มีความยืดหยุ่นและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล โดยมีกรอบความร่วมมือสำคัญคือ บันทึกความเข้าใจ (MOU) ปี 2543 ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก ที่มีผลผูกพันทั้งสองฝ่าย โดยกำหนดให้ทุกข้อพิพาทต้องแก้ไขผ่านกระบวนการเจรจาโดยสันติวิธี ไม่ใช้ความรุนแรง ทั้งนี้ ฝ่ายไทยย้ำว่าจะเดินหน้าเจรจากับฝ่ายกัมพูชาด้วยความจริงใจและสุจริตใจ บนพื้นฐานของความเป็นเพื่อนบ้านที่ดี และหลักการที่เป็นสากล
ในประเด็นที่ฝ่ายกัมพูชามีท่าทีต้องการให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) เข้ามามีบทบาทในการชี้ขาดนั้น ฝ่ายไทยยืนยันว่าไม่ยอมรับเขตอำนาจศาล ICJ มาตั้งแต่ปี 2503 และฝ่ายกัมพูชาเองก็รับทราบดี ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางของสหประชาชาติที่ส่งเสริมให้ประเทศคู่กรณีหาทางออกด้วยตนเองผ่านการหารือโดยตรง แทนที่จะให้ฝ่ายที่สามเข้ามาตัดสิน ซึ่งอาจไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน
อีกหนึ่งประเด็นที่จุดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมไทยคือ การแสดงความเห็นของผู้นำกัมพูชาผ่านสื่อสังคมออนไลน์ในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะถ้อยคำที่มีลักษณะเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงผู้นำรัฐบาลไทย ซึ่งสร้างความไม่พอใจในฝั่งไทยเป็นอย่างมาก โดยนายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ได้ชี้แจงว่า รัฐบาลไทยถือว่าเป็นการแทรกแซงกิจการภายในอย่างร้ายแรง และขัดต่อกฎบัตรอาเซียน กฎบัตรสหประชาชาติ รวมถึงกฎหมายระหว่างประเทศ จึงขอเรียกร้องให้ฝ่ายกัมพูชายุติการกระทำดังกล่าวโดยทันที เนื่องจากไม่เพียงแต่เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม แต่ยังส่งผลเสียอย่างรุนแรงต่อความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ
ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศไทยย้ำชัดว่า ไม่ปรารถนาจะตอบโต้ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ แม้จะถูกโจมตีก็ตาม เพราะไม่เห็นว่าจะก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆ ต่อการคลี่คลายสถานการณ์ แต่กลับจะยิ่งทำให้ความตึงเครียดยืดเยื้อออกไปเปล่าๆ โดยยืนยันจะใช้ช่องทางทางการในการสื่อสารกับประชาคมโลกเป็นหลัก
สิ่งที่สำคัญที่สุดของรัฐบาลในขณะนี้ คือ การรักษาดินแดนไทยโดยไม่ยอมสูญเสียแม้แต่ตารางนิ้วเดียว และการสร้างสันติภาพในพื้นที่ชายแดน เพื่อให้ประชาชนทั้งฝั่งไทยและกัมพูชาสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสงบสุข โดยหลีกเลี่ยงความขัดแย้งให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้