เศรษฐกิจสหรัฐQ2โตสูงกว่าคาด ครึ่งปีโตชะลอ ทรัมป์ร้องลดดอกเบี้ย
ซีเอ็นบีซี รายงานว่า กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ รายงานเมื่อวันพุธ (30 ก.ค.) ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ เติบโตในอัตราที่แข็งแกร่งกว่าที่คาดการณ์ไว้มากในไตรมาสที่สอง ซึ่งได้รับแรงหนุนจากดุลการค้าที่ฟื้นตัวและความแข็งแกร่งของผู้บริโภคที่กลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง
ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ซึ่งเป็นผลรวมของกิจกรรมสินค้าและบริการทั่วทั้งเศรษฐกิจสหรัฐฯ ขยายตัว 3% ในช่วงเดือนเมษายนถึงมิถุนายน หลังปรับปัจจัยฤดูกาลและอัตราเงินเฟ้อ
ตัวเลขดังกล่าวสูงกว่าที่บริษัทดาวโจนส์คาดการณ์ไว้ที่ 2.3% และเป็นการพลิกกลับจากการติดลบ 0.5% ในไตรมาสแรก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการนำเข้าที่ลดลงอย่างมาก ซึ่งการนำเข้าจะหักออกออกจากจีดีพี ในขณะที่การใช้จ่ายของผู้บริโภคชะลอลงท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับภาษีศุลกากร
ตลาดการเงินแทบไม่ตอบสนองต่อรายงานดังกล่าว โดยดัชนีหุ้นปรับตัวขึ้นเล็กน้อย และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวสูงขึ้น
“คำกล่าวประจำฤดูร้อนสำหรับเศรษฐกิจคือ ‘ความแข็งแกร่ง’” เฮเธอร์ ลอง หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ Navy Federal Credit Union กล่าว “ผู้บริโภคยังคงอดทนรออยู่ แต่ยังคงกังวลจนกว่าข้อตกลงการค้าจะเสร็จสิ้น”
ช่วงเวลากิจกรรมทางเศรษฐกิจที่รายงานในวันพุธรวมถึงช่วงการประกาศภาษีศุลกากร “วันปลดปล่อย” ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อวันที่ 2 เมษายน ก่อนหน้าการนำเข้าสินค้าเพิ่มขึ้นอย่างมากในไตรมาสแรก เนื่องจากบริษัทต่างๆ พยายามนำเข้าล่วงหน้าก่อนการประกาศขึ้นภาษีดังกล่าว
ในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา ทรัมป์ได้เข้าร่วมการเจรจาที่ดุเดือดและเข้มข้นหลายครั้งกับคู่ค้าของสหรัฐฯ ซึ่งสร้างความกังวลใจ แต่ถึงกระนั้นก็พ้องไปกับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวแต่ยังแข็งแกร่ง
การเจรจาส่วนใหญ่ส่งผลให้กำแพงภาษีศุลกากรสูงกว่าระดับที่ประกาศไว้ในช่วงต้นปี แต่ไม่รุนแรงเท่าที่คาดการณ์ไว้ในตอนแรก
“เรื่องราวฝ่ายต่อต้านทรัมป์คือเรากำลังจะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยหรือภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอันเนื่องมาจากภาษีศุลกากร ซึ่งจะส่งผลให้ราคาสินค้าพุ่งสูงขึ้นและทำให้ผู้บริโภคแห่กันออกจากตลาด” เควิน แฮสเซ็ตต์ ผู้อำนวยการสภาเศรษฐกิจแห่งชาติ กล่าวกับซีเอ็นบีซี “ที่จริงแล้ว ทุกอย่างเกี่ยวกับรายงาน GDP ฉบับนี้แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่ง”
การใช้จ่ายของผู้บริโภคเพิ่มขึ้น 1.4% ในไตรมาสที่สอง ดีกว่าการขยายตัว 0.5% ในช่วงเวลาก่อนหน้าแต่ยังอยู่ในระดับต่ำ แม้ว่าการส่งออกจะลดลง 1.8% ในช่วงเวลาดังกล่าว แต่การนำเข้ากลับร่วงลงแรง 30.3% พลิกกลับจากการพุ่งขึ้นแรง 37.9% ในไตรมาสแรก
ตัวเลข GDP แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งในทุกภาคส่วนสำคัญของเศรษฐกิจ รวมถึงอัตราเงินเฟ้อกำลังลดลง แต่แรงกดดันเงินเฟ้อยังไม่หายไป
ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดเงินเฟ้อหลักของธนาคารกลางสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้น 2.1% ในไตรมาสนี้ ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายเงินเฟ้อ 2% ของธนาคารกลางเล็กน้อย อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน PCE ซึ่งเฟดมองว่าเป็นตัวชี้วัดที่ดีกว่าสำหรับแนวโน้มระยะยาว เนื่องจากไม่รวมราคาอาหารและพลังงานที่ผันผวน เพิ่มขึ้น 2.5% เทียบกับตัวเลขในไตรมาสแรกอยู่ที่ 3.7% และ 3.5% ตามลำดับ
เฟดประชุมในวันพุธนี้ และคาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ข้ามคืนไว้ที่ 4.25-4.5% ซึ่งเป็นระดับเดียวกับที่เคยเป็นมาตั้งแต่เดือนธันวาคม
- ทรัมป์ย้ำขอให้เฟดลดดอกเบี้ยลง
ทรัมป์ตอบสนองต่อรายงาน GDP ด้วยการเรียกร้องให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ ลดอัตราดอกเบี้ย
“GDP ไตรมาส 2 เพิ่งออกมา: 3% ดีกว่าที่คาดไว้มาก!” ทรัมป์โพสต์บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย Truth Social โดยทรัมป์เอ่ยถึงชื่อล้อเลียนที่เขาตั้งให้กับเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด พร้อมเสริมว่า “‘นายสายเกินไป’ ต้องลดอัตราดอกเบี้ยแล้ว อย่าให้เงินเฟ้อเกิดขึ้น! ปล่อยให้ประชาชนซื้อและรีไฟแนนซ์บ้าน!”
- สัญญาณบ่งชี้ถึงภาวะชะลอตัวบางส่วน
การบริโภคขั้นสุดท้าย ( Final sales to private domestic purchasers) ซึ่งสะท้อนอุปสงค์ในประเทศ และเป็นตัวชี้วัดที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ จับตามองอย่างใกล้ชิด เพิ่มขึ้นเพียง 1.2% ลดลงจาก 1.9% ในไตรมาสที่ 1 และเป็นการเติบโตที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ของปี 2565
ทรัมป์บ่นเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยจำนองที่สูง ซึ่งเป็นปัจจัยฉุดรั้งตลาดที่อยู่อาศัย การลงทุนด้านที่อยู่อาศัยลดลง 4.6% ในไตรมาสที่ 2
ขณะเดียวกัน GDP ก็เติบโตอย่างแข็งแกร่งโดยไม่ได้แรงหนุนจากรายจ่ายของรัฐบาล โดยรายจ่ายของรัฐบาลกลางลดลง 3.7% หลังจากการลดลง 4.6% ในไตรมาสแรก การใช้จ่ายของมลรัฐและหน่วยงานท้องถิ่นเพิ่มขึ้น 3%
- เศรษฐกิจโตชะลอลงในครึ่งแรกของปี
บลูมเบิร์ก รายงานว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ได้ชะลอตัวลงในช่วงครึ่งแรกของปี เนื่องจากผู้บริโภคลดการใช้จ่าย หลังจากการจับจ่ายใช้สอยอย่างมากในปลายปี 2567 และบริษัทต่าง ๆ ต้องปรับตัวกับนโยบายการค้าที่เปลี่ยนแปลงบ่อยครั้ง
แม้ว่าจังหวะการเติบโตยังคงแข็งแกร่ง แต่การเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ยอยู่ที่ 1.25% ในครึ่งแรกของปี ลดลงจากอัตรา 2.25% ในช่วงเดียวกันของปี 2024
ในไตรมาสสอง การใช้จ่ายของผู้บริโภค ซึ่งคิดเป็นสองในสามของ GDP เพิ่มขึ้น 1.4% แม้ว่าจะดีขึ้นจากการเติบโตที่ชะลอตัวเพียง 0.5% เมื่อต้นปี แต่ก็ยังคงเป็นการเติบโตที่ต่ำที่สุดติดต่อกันตั้งแต่ช่วงการระบาดของโควิด-19
การลงทุนของภาคเอกชน ขยายตัวในอัตราที่ช้าลงมากในช่วงเดือนเมษายนถึงมิถุนายน
เนื่องจากความผันผวนในด้านการค้าและสินค้าคงคลังได้บิดเบือนภาพรวมของ GDP ในปีนี้ นักเศรษฐศาสตร์จึงให้ความสนใจมากขึ้นกับ ตัวเลขการบริโภคขั้นสุดท้าย ซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่แคบลงของความต้องการ โดยตัวชี้วัดนี้เพิ่มขึ้นเพียง 1.2% ในไตรมาสที่สอง ซึ่งต่ำสุดตั้งแต่สิ้นปี 2565