'ทรูวิชั่นส์ นาว' เสิร์ฟ 'มินิซีรีส์' 2 นาทีต่อตอน ตรึงคนดูสู้ศึกโอทีที
ศึกชิงสายตา(eyeball)และ “เวลา” ของคนดูยังคงมีเรื่องราวให้ติดตาม เพราะตลาดนี้ ไม่ว่าจะเป็นทีวี แพลตฟอร์มรับวิดีโอออนไลน์(โอทีที) รวมถึงทุกแพลตฟอร์มออนไลน์ที่เสพคอนเทนต์ต่าง ต้องต้องหาแม่เหล็กมาสะกดกลุ่มเป้าหมายให้อยู่กับแพลตฟอร์ม เนื้อหา(คอนเทนต์) ให้นานสุด
“ทรูวิชั่นส์” เผชิญการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญระลอกใหม่ เมื่อต้องไร้ซึ่งการถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษให้กับผู้ท้าชิงหน้าใหม่
ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ถือเป็น King Of Content และการดูกีฬา เสน่ห์คือการ “รับชมสด” เท่านั้นจึงจะมัน
เมื่อคอนเทนต์เปลี่ยนมือ ทำให้ “ทรูวิชั่นส์” ต้องปรับตัว แก้เกมกลยุทธ์เพื่อดึงลูกค้า ด้วยการรุกเต็มสูบกับ “โอทีที” อย่าง “ทรูวิชั่นส์ นาว (TrueVisions NOW) ที่มาพร้อมเป้าหมายในการพาผู้ชมเปิดประสบการณ์ที่สุดของคอนเทนต์ใหม่เต็มรูปแบบ “The NEW is NOW” ที่จะตอกย้ำความเป็น “NOWtainment – ครบ จบ ทุกความบันเทิง”
หนึ่งในความบันเทิงที่ “ทรูวิชั่นส์ นาว” มอบให้คนดูคือการเกาะกระแส “ตลาดซีรีส์สั้น” หรือ short video series
องอาจ ประภากมล หัวหน้าสายงานทรูวิชั่นส์ และมีเดีย บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า เจาะลึก(insight)ตลาด short video series ถืออยู่ในช่วงของภาวะฝุ่นตลบ แต่ตลาดเติบโตเร็ว ซึ่งเรื่องราวของคอนเทนต์ความดราม่า เปรียบเหมือนละครคุณธรรมของไทย
short video series เป็นอีกหมัดฮุกการตลาดที่ “ทรูวิชั่นส์ นาว” นำมาอยู่บนหน้าจอหรือเปรียบเสมือน Shelf ขายสินค้าให้ผู้บริโภคเลือกรับชม ซึ่งก่อนหน้านี้ “องอาจ” ได้คาดการณ์ เทรนด์ดังกล่าว “อาจมาและไม่มา” เนื่องจากบางประเทศฮิตหรือได้รับความนิยมสูงมากและ “ลดลง” บางประเทศเติบโตเร็ว
“เรามองโอกาส short video series เป็น the next หรืออาจจะเป็นแฟชัน เพราะหมัดฮุกมันต้องเยอะมากกับรายการหรือคอนเทนต์ 2 นาที เพื่อทำให้คนดูต่อ เราต้อง make sure ว่าลูกค้าอยากดูใน 2 นาทีต่อไป(ตอนต่อไป) เพราะอาจหมดมุก แต่เรากำลัง locallized เรื่องนี้ ไม่ใช่แค่ซื้อจากจีนหรือเกาหลีเท่านั้น”
จีน หนึ่งในตลาดที่สร้างปรากฏการณ์ short video series และแผ่ขยายไปยังประเทศต่างๆทั่วโลก นอกจากนำคอนเทนต์ต่างแดนมาเสิร์ฟคนดูชาวไทย “องอาจ” จะอาศัยศักยภาพของพันธมิตรอย่าง แบล็ค ดรากอน เอนเตอร์เทนเม้นท์(Black Dragon Entertainment) ในการสร้างสรรค์ซีรีส์สั้น 2 นาทีต่อตอนด้วย
“เรามีแผนจะลุย short video serires ให้แบล็ค ดรากอนทำให้ เรารู้สตอรี่มีสคริปต์หรือบทพูดเพียง 50 ตอน ที่เหลือจะเปลี่ยนคนแสดง เราต้องหาอะไรที่น่าเชื่อถือ จริงแท้หรือ authentic กว่านี้ ส่วนคนดูต้องจับตาจะแซงคอนเทนต์อื่นๆหรือไม่”
สำหรับ short video serires ถือเป็นการรังสรรค์คอนเทนต์ให้คนดูติดตามไม่ต่างจากแพลตฟอร์มติ๊กต็อก(TikTok) คือวิดีโอแนวตั้ง(vertical short form) สิ่งที่ต่างคือ TikTok เนื้อหาถูกสร้างโดยผู้คน(User Generated Content :UGC)
ปัจจุบันตลาดใหญ่ของ short video serires อยู่ที่จีน ตามด้วยสหรัฐ ยังมีเกาหลี ญี่ปุ่น รังสรรค์เนื้อหาสั้นๆจับคนดู โดยมีการนำแนวเส้นการเดินเรื่อง(storyline)จากจีนไปปรับใช้
“short video serires ในสหรัฐโตเร็วมาก เมื่อไปถึงยอดแล้ว ต้องตามดูว่าจะเป็น New S-Curve ไปต่อได้ไหม และตลาดนี้จะอยู่ต่อได้ ต้องมีแนวเรื่องอื่นเข้ามา แต่คงไม่ล้มหายตายจาก ส่วน script มีอยู่แค่นี้ ซ้ำๆ เพียงเปลี่ยนตัวแสดง”
การรุกตลาด short video serires ทรูวิชั่นส์ นาว จัดเต็มกว่า“ร้อยเรื่อง” ให้คนดูจุใจ และปี 2569 จะซื้อมาเสริมทัพเพิ่ม
สำรวจตลาด short video serires ในปี 2565 รายงานข่าวระบุว่า อุตสาหกรรมวิดีโอสั้น ที่รวมอยู่ในอุตสาหกรรมด้านเสียงและวิดีโอของจีน มีรายได้เกิน 7 แสนล้านหยวน เฉพาะ Short Video หรือ วิดีโอสั้น มีมูลค่าเกิน 2 แสนล้านหยวน หรือคิดเป็น 40% ของอุตสาหกรรมเสียงและวิดีโอจีน
กระแสของมินิดราม่า(Short reel) ยังรุกคืบตีตลาด Netflix ต่อเนื่อง ด้วยจุดเด่นเรื่องราวที่นำเสนอเพียงตอนละ 1-2 นาที มีความยาวตั้งแต่ 50 ตอนขึ้นไป จนถึง 100 ตอน หากนับเวลาการรับชม 1 เรื่อง เช่น 50 ตอน ใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมงเศษเท่านั้น ส่วนการถ่ายทําซีรีส์ Short reel ทั้งหมดใช้เวลาเพียงแค่ 7 ถึง 10 วันตั้งแต่ต้นจนจบ ด้านค่าใช้จ่ายทั้งหมดโดยทั่วไปอยู่ระหว่าง 300,000 ถึง 500,000 หยวน หรือราว 41,000 ถึง 69,500 ดอลลาร์(กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ 1 มี.ค.67)
สำหรับการเดินเรื่องของมินิดราม่า มักนำเสนอพระเอกที่รวยล้นฟ้า รวยที่สุดในโลก สายเปย์ ซื้อของให้นางเอก ญาติพี่น้องเป็นหลักร้อยถึงพันล้านหยวน รถที่ใช้ในการแสดงมักจะเป็น โรลส์-รอยซ์ รวมถึงเลือกนักแสดงเอกเป็นผู้ชายรวย-หล่อ กับสาวบ้านๆ เจาะกลุ่มผู้ชมสาวอายุน้อย เพิ่มจินตนาการเข้าถึงละคร(กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ 1 มี.ค.67) เส้นเรื่องที่ลุ้นด้วยเวลาที่สั้นทำให้คนดูอยากดูต่อหรือเสพติดเนื้อหาไปเรื่อยๆ ส่วนเทรนด์นี้จะยั่งยืนแค่ไหนยังต้องติดตาม