โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

สูตรยืนระยะสู้ red ocean ของธุรกิจอาหาร ในงาน THAILAND C-VISION SUMMIT 2025

Capital

อัพเดต 2 วันที่แล้ว • เผยแพร่ 1 วันที่แล้ว • Insight

หลายคนอาจคิดว่ากิจการร้านอาหารมีความเสี่ยงต่ำ เพราะไม่ว่าใครก็ต้องกินอาหารวันละ 3 มื้อกันทุกวัน จึงทำให้มีผู้ประกอบการหน้าใหม่กระโดดลงมาทำธุรกิจนี้กันมากมาย

แต่จากข้อมูลของบริษัทเพนกวินเอ็กซ์ จำกัด ผู้ให้บริการคำปรึกษาสำหรับธุรกิจอาหาร พบว่าในปี 2024 ธุรกิจอาหารมีอัตราการปิดตัวสูงถึง 60% เป็นสถิติที่ทำให้เห็นว่าธุรกิจประเภทนี้นับเป็น red ocean ที่เชี่ยวกราก

ปัจจัยในการอยู่รอดของธุรกิจอาหารมีมากมายหลายอย่าง ในฐานะผู้ประกอบการที่คิดจะลงมาในตลาดนี้หรือกำลังดำเนินกิจการอยู่ การได้เห็น case study จากผู้ที่ยืนหยัดอยู่ใน red ocean ได้อาจทำให้ได้แนวคิดบางอย่างที่สามารถนำไปปรับใช้กับธุรกิจตนเอง

คอลัมน์ Keynote ตอนนี้จึงขอชวนผู้ประกอบการธุรกิจอาหารไปล้วงสูตรเด็ดที่ทำให้แบรนด์อาหารและเครื่องดื่มอย่าง Karun Thai Tea, White Story และ Shinkanzen Sushi สามารถยืนระยะได้ใน red ocean ที่ทั้ง 3 แบรนด์นี้ได้มาแชร์ในเวทีสัมมนา THAILAND C-VISION SUMMIT 2025

• Karun Thai Tea : วางแผนก่อนให้ชัด ไม่ตามเทรนด์ โฟกัสที่จุดเด่นของตัวเอง สร้าง value ของแบรนด์ให้แข็งแรง

Karun Thai Tea ขึ้นชื่อเรื่องชาไทยพรีเมียมและยืนระยะมาได้กว่า 6 ปีแล้ว รัส–ธัญย์ณภัคช์ ศิริประภา เจ้าของแบรนด์เล่าว่าสาเหตุที่กล้ากระโดดลงมาใน red ocean นี้ เพราะได้วางแผนชัดเจนก่อนเริ่มลงมือทำ ทั้งการเลือกกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน การคิดโลเคชั่นให้สอดคล้อง และการมองหาว่ากลุ่มลูกค้าต้องการอะไร เพื่อให้สินค้าของแบรนด์เสิร์ฟความต้องการของลูกค้าได้ตรงจุด

“เราจะเจาะกลุ่มลูกค้าที่เชื่อมั่นว่าร้านที่ขายสินค้าอย่างเดียวจะต้องทำสิ่งนั้นอร่อย จะต้องพรีเมียม ส่งเสริม value ให้กับแบรนด์มากขึ้น เราก็เลยโฟกัสว่าฉันแก้ pain point ให้ลูกค้า ฉันสร้างภาพลักษณ์ให้กับสินค้าของตัวเองให้เซ็กซี่ขึ้น แล้วจากจุดนี้ ฉันจะขยายไปต่อได้อีกไกลแค่ไหนบ้าง”

ปัจจุบัน Karun Thai Tea ยังขยายแบรนด์น้องเพิ่มขึ้นอีก 3 แบรนด์ด้วยกันคือ เจริญสังขยา ที่เน้นขนมปังสังขยาเป็นหลัก, Summer Bowl เน้นขาย acai bowl ซึ่งเทคโอเวอร์จากเจ้าของเดิมก่อนนำมารีแบรนด์ใหม่ และ Avery Wong แบรนด์ชานมแนวใหม่ที่ยังคงเน้นเสิร์ฟความพรีเมียม

แบรนด์ในเครือที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เป็นสิ่งที่ช่วยยืนยันแนวคิดในการทำธุรกิจที่เมื่อทำสินค้าสักตัวก็จะต้องทำออกมาให้พรีเมียม มีแบรนดิ้งที่แข็งแรงให้คนนึกถึง ซึ่งมาจากการคำนึงถึงความยั่งยืนในการทำแบรนด์ด้วย ขณะเดียวกัน แต่ละแบรนด์จะต้องไม่แย่งฐานลูกค้ากัน และต้องทำให้สามารถขยายฐานลูกค้าออกไปได้

นอกจากนั้นแล้วเธอยังให้ความสำคัญกับการ “เตรียมพร้อมสำหรับช่วงที่แย่ที่สุดอยู่เสมอ” เธอกล่าวว่าทุกคนในองค์กรจะถูกปลูกฝังว่าช่วงขาขึ้นอย่าดีใจนาน ให้เอาเวลาไปวางแผนว่าในวันที่ยอดตก ยอดไม่มา เราจะปรับตัวยังไง

• White Story : ปรับเปลี่ยนตามความต้องการของลูกค้า เดินเข้าไปหาลูกค้าด้วยโลเคชั่น

“ถ้าเราไปแก้ไขปัญหาในช่วงวิกฤต มันคือการบรรเทา เพราะฉะนั้นเรารู้แล้วว่าวิกฤตมันกำลังจะมาแน่นอน เราต้องทำงานให้ไวขึ้น ทำงานล่วงหน้า หา blueprint ออกมาให้ได้ว่าเมื่อวิกฤตเกิดขึ้นคุณจะทำอะไร และเมื่อวิกฤตนั้นมันเกิดขึ้นมา เราจะแก้ปัญหาได้ไวแล้วก็ผ่านพ้นไปได้”

เจ้าของแบรนด์ White Story อย่าง แวว–วาศิณี สุรชาติชัยฤทธิ์ กล่าวถึงแนวคิดที่ใช้รับมือกับวิกฤตมาตลอด 18 ปี ย้อนกลับไป White Story เริ่มต้นจากการเป็นคาเฟ่เล็กๆ บนถนนราชพฤกษ์ ก่อนจะประสบปัญหาน้ำท่วมในปี 2554 จึงมองหาลู่ทางอื่นที่จะทำให้ธุรกิจสามารถไปต่อได้

“สิ่งที่เราเห็นคือผู้บริโภคเริ่มหันมาเดินเล่นในคอมมิวนิตี้มอลล์หรือว่าในมอลล์ต่างๆ มากยิ่งขึ้น แล้วในถนนราชพฤกษ์เองก็มีคอมมิวนิตี้มอลล์หรือมอลล์ต่างๆ เกิดขึ้นเรื่อยๆ เราก็ใช้หลักเรื่องโลเคชั่นในการมูฟจากสแตนด์อโลนเข้ามาอยู่ในห้างเป็นครั้งแรก” วาศินีย้อนความถึงการปรับเปลี่ยนครั้งแรกของ White Story ที่เกิดจากการสังเกตเทรนด์และพฤติกรรมผู้บริโภค ณ ขณะนั้น

สิ่งที่มาพร้อมกับการเปลี่ยนโลเคชั่น คือการปรับกลยุทธ์ให้เข้ากับพฤติกรรมของผู้บริโภค ที่ในตอนนั้นอาหารที่หาซื้อได้ง่าย สะดวกรวดเร็วกำลังเติบโตจากเทรนด์ lazy economy แต่อีกหนึ่งสิ่งที่ผู้บริโภคยังคงให้ความสำคัญคือเรื่องสุขภาพที่ดี White Story ในตอนนั้นจึงปรับไปใช้กลยุทธ์ Grab & Go ที่ตอบโจทย์ทั้งอาหารกล่องและเครื่องดื่มที่ให้สุขภาพที่ดีแถมไปด้วย

ปัจจุบัน White Story มี 92 สาขาทั่วกรุงเทพฯ และมีแผนการขยายให้ถึง 100 สาขาภายในสิ้นปีนี้ สอดรับกับกลยุทธ์ที่กล่าวไปว่า White Story เป็นแบรนด์ที่พยายามเดินเข้าไปหาลูกค้าด้วยตัวเองผ่านโลเคชั่นที่ลูกค้าจะเข้าถึงได้ง่าย แต่นอกจากนั้นแล้วการลงมือทำด้วยตนเองในกระบวนการต่างๆ ที่หน้าร้านก็มีความสำคัญและยังเป็นการเก็บ market reseach จากลูกค้าได้โดยตรง

“ถ้าอยากทำรีเสิร์ชที่ดีจริงๆ ก็คือการรับฟังจากลูกค้าจริงๆ อย่างเราคือยืนเป็นแคชเชียร์เองเป็นปี เคยเป็นเชฟอยู่ 4-5 ปี เพราะมันคือข้อมูลที่ดีมากๆ แล้วเราก็เปิดใจที่จะเอามาปรับ มาพัฒนา”

• Shinkanzen Sushi : จับ pain point ของคนมาเติมเต็ม ให้ความสำคัญกับความคุ้มค่า

Shinkanzen Sushi สาขาแรกเกิดจากเจ้าของอย่าง ชาร์ป–ชนวีร์ หอมเตย และมิ้ง–ศุภณัฐ สัจจะรัตนกุล ซึ่งเป็นนักศึกษาปี 3 ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในขณะนั้น ทั้งคู่มองเห็นว่าในบริเวณมหาวิทยาลัยหาของกินได้ยาก จึงเกิดไอเดียทำร้านซูชิที่ดีในราคาไม่แพงให้เพื่อนๆ ได้กิน Shinkanzen Sushi สาขาแรกเกิดขึ้นที่ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ในราคาเริ่มต้นคำละ 10 บาท และปัจจุบันปรับขึ้นมาเริ่มต้นคำละ 11 บาท

หลายอย่างอาจต้องเปลี่ยนแปลงไปตามอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนไป อย่าง Shinkanzen Sushi ก็ปรับให้มีเมนูเยอะขึ้น เพื่อเป็นตัวเลือกให้ผู้บริโภค และกลายเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นที่ไม่ใช่แค่ร้านซูชิอีกต่อไป การเพิ่มเมนูยังเป็นส่วนหนึ่งในโปรเจกต์ zero waste ที่ช่วยลดต้นทุน เพราะจากสภาพเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา ธุรกิจอาหารที่มีต้นทุนวัตถุดิบเป็นหนึ่งภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบอย่างมาก

ขณะที่ต้องแบกรับต้นทุนที่พุ่งขึ้นสูง Shinkanzen Sushi ยังคงให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าที่ผู้บริโภคจะได้รับ ซึ่งชนวีร์กล่าวแนะนำว่า “ปีนี้เป็นปีที่เศรษฐกิจค่อนข้างไม่ดีและต้องทำอะไรด้วยความระมัดระวัง ดังนั้น สิ่งที่ลูกค้าต้องการช่วงนี้คือความคุ้มค่า เราเลยออกสินค้าใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ความคุ้มค่านั้น”

ปัจจุบัน ธุรกิจอาหารในเครือเดอะ ฟู้ด ซีเล็คชั่น กรุ๊ป ที่ขยายต่อมาจาก Shinkanzen Sushi ก็ยังมีนักล่าหมูกระทะ ซึ่งเป็นร้านหมูกระทะที่อยากแก้ pain point ของคนที่อยากกินหมูกระทะในห้องแอร์และมีที่ดูดควันให้หัวไม่เหม็น ส่วนอีกร้านคือ Katsu Midori Sushi ซึ่งเป็นร้านซูชิสายพานที่ตอบสนองเทรนด์ซูชิสายพานที่คนกำลังต้องการ นับเป็นธุรกิจอาหารที่เอาความต้องการของลูกค้าเป็นที่ตั้งได้อย่างดี

จากทั้ง 3 กรณีตัวอย่างของ Karun Thai Tea, White Story และ Shinkanzen Sushi จุดร่วมอย่างหนึ่งคือการที่เจ้าของธุรกิจจะต้องหาให้เจอว่าสิ่งที่ลูกค้าของตัวเองต้องการคืออะไร อาจเริ่มต้นจากสิ่งที่เป็น pain point และพัฒนาสินค้าจากสิ่งนั้น ขณะเดียวกันแบรนด์ก็ต้องไม่หยุดฟังเสียงลูกค้าเพื่อศึกษาความต้องการใหม่ๆ และนำไปพัฒนาต่อยอดให้สินค้าเป็นที่ต้องการของตลาดต่อไป

ท่ามกลาง red ocean ที่เต็มไปด้วยความเสี่ยงและการแข่งขัน แม้จะมีปัจจัยเสี่ยงมากมาย แต่หากผู้ประกอบการธุรกิจอาหารสามารถหาสูตรเฉพาะให้กับกิจการของตนเองได้ โดยอาจจะลองปรับเปลี่ยนกลยุทธ์และแนวคิดจากตัวอย่างต่างๆ ให้มาเป็นส่วนผสมในแบบของตัวเอง ไม่แน่ว่าคุณก็อาจสามารถฝ่าคลื่นพายุของทะเลเดือดนี้ไปได้เช่นกัน

อ้างอิง

bangkokbiznews.com/business/business/1169861

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก Capital

คุยกับโมชิแห่ง SHIPPOP สตาร์ทอัพธุรกิจขนส่งยอดขาย 500 ล้านต่อปี ถึงวิธีสร้าง New S-curve

9 ชั่วโมงที่ผ่านมา

‘คาลบี้’ ข้าวเกรียบกุ้งระดับตำนาน ที่ช่วยพยุงฮิโรชิม่าจากไฟสงคราม

1 วันที่แล้ว

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความไลฟ์สไตล์อื่น ๆ

“อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ” อนุสาวรีย์แด่วีรชนผู้กล้าที่รักษาอธิปไตยของแผ่นดินไทย

Manager Online

หนังใหม่ 2025 : K-Pop Demon Hunters เกิร์ลกรุ๊ปนักล่าปีศาจ

PPTV HD 36

รฟม. จัดเวิร์กชอป “สร้างงาน สร้างอาชีพ” เรียนฟรีกับกูรูตัวจริง

สยามรัฐ

Playlist เพลงประกอบแอนิเมชัน KPop Demon Hunters เกิร์ลกรุ๊ปนักล่าปีศาจ

PPTV HD 36

สจล. จับมือ กษ. สถานเอกอัครราชทูตเนเธอร์แลนด์ พลิกโฉมอนาคตเกษตรและอาหารอย่างยั่งยืน

สยามรัฐ

“เซย่า ทองเจือ” เปิดตัวชุดวิวาห์ในฝันของสาวเจนซี ในคอลเลกชัน “Les Fleurs de Versailles”

สยามรัฐ

สรุปโพล : ราคาพุ่งถึง 5 หมื่น! คุณยังซื้อ 'ทองคำ' อยู่ไหม ในปี 2025

LINE TODAY

กระท้อน ผลไม้พื้นบ้านรสเปรี้ยวอมหวาน พร้อมประโยชน์และโทษที่ควรรู้

sanook.com

ข่าวและบทความยอดนิยม

4P+1 ของ White Story ที่เสิร์ฟเมนูดีต่อใจและสุขภาพจนผู้บริโภคหลงรักและขยายได้กว่า 90 สาขา

Capital

การเดินทางที่ทั้งสนุกและสะดุดของ ‘ปู่นิน’ จากคนทำไพ่ดอกไม้สู่ค่ายเกมยักษ์ใหญ่ระดับโลก

Capital

‘ห้องน้ำชา’ จุดเริ่มต้นของผู้ประกอบการหญิงที่เปลี่ยนบ้านเป็นร้านอบอุ่น และงานการต้อนรับขับสู้

Capital
ดูเพิ่ม
Loading...