สหรัฐฯกำลังเข้าสู่โหมดประเทศโดดเดี่ยว
คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย
คากการณ์ไม่ถึงเลยว่าเพราะเหตุใด “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” จึงสั่งบอมบ์โรงงานผลิตนิวเคลียร์ของอิหร่านก่อนกำหนดสิบวันเลยทีเดียว
เพราะสิบวันก่อนหน้าจะถึงวันเสาร์ที่ 21 มิถุนายน 2025 ประธานาธิบดีทรัมป์ส่งสัญญาณออกมาว่า เขายังมิได้ตัดสินใจว่า จะทำอย่างไรต่อความขัดแย้งที่กำลังเกิดขึ้นระหว่างอิหร่าน และอิสราเอล!!!
อีกทั้ง “รัฐมนตรีต่างประเทศมาร์โก รูบิโอ” ก็ออกมาให้สัมภาษณ์หลายวันก่อนหน้าที่ประธานาธิบดีทรัมป์จะสั่งให้โจมตีโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่านว่า “สหรัฐฯไม่มีอะไรเกี่ยวข้องต่อความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างอิหร่านและอิสราเอล” แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้น เป็นที่รู้ๆกันอยู่ว่า สหรัฐฯและอิสราเอลทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดอยู่แล้ว
ภายหลังจากที่กองทัพสหรัฐร่วมมือกับอิสราเอลในการโจมตีทำลายโรงงานผลิตอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่านจนเป็นผลสำเร็จ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกมากล่าวปราศรัยต่อประชาชนทั่วประเทศว่า “เราประสบความสำเร็จในการโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ทั้งสามแห่งของอิหร่าน ที่ฟอร์โดว์ ,นาตันซ์,และ เอสฟาฮาน
และขณะนี้เครื่องบินทั้งหมดของสหรัฐฯบินอยู่เหนือน่านฟ้าของอิหร่าน และกำลังจะเดินทางกลับบ้านอย่างปลอดภัย ข้าพเจ้าขอแสดงความยินดีกับนักรบอเมริกันผู้ยิ่งใหญ่ของเรา และไม่มีกองทัพใดๆในโลกจะทำเช่นนี้ได้ ตอนนี้ถึงเวลาแห่งสันติภาพแล้ว ขอบคุณที่ให้ความสนใจในเรื่องนี้”
ประธานาธิบดีทรัมป์ได้กล่าวต่อไปอีกว่า “เป้าหมายของเราก็คือการทำลายขีดความสามารถในการเสริมสมรรถภาพและหยุดยั้งภัยคุกคามจากอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่าน”
โดยประธานาธิบดีทรัมป์ยังได้กล่าวเสริมในตอนท้ายว่า “หากสันติภาพยังไม่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เราก็จะมุ่งหน้าโจมตีเป้าหมายอื่นๆต่อไปอีก ด้วยความแม่นยำและรวดเร็ว”
ทั้งนี้สัปดาห์ที่ผ่านมาดูเหมือนว่าคะแนนนิยมของประธานาธิบดีทรัมป์ ตกฮวบลงไปอย่างมาก สืบเนื่องมาจากชาวอเมริกันไม่พึงพอใจผลงานของประธานาธิบดีทรัมป์ในแทบทุกเรื่อง
และจากการที่คะแนนนิยมของเขาตกฮวบลงเยี่ยงนี้ มีผลทำให้ประธานาธิบดีทรัมป์รู้สึกหงุดหงิดถึงกับออกมาพร่ำบ่นว่า “แย่มากๆ”
และถึงแม้ว่าทั้งในวุฒิสภาและในสภาผู้แทนราษฎรพรรครีพับลิกันจะมีเสียงข้างมากก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถช่วยเหลือประธานาธิบดีทรัมป์มากเท่าที่ควร โดยเฉพาะอย่างยิ่งร่างงบประมาณที่ควรจะเป็นผลงานชิ้นโบแดงของประธานาธิบดีทรัมป์ แต่กลับถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากคนอเมริกันว่า ไม่เป็นธรรมต่อคนระดับล่าง
แถมสงครามการค้าที่ประธานาธิบดีทรัมป์คาดว่าจะกลายเป็นผลงานชิ้นโบแดงของเขากลับปรากฏว่า ขณะนี้สมาชิกพรรครีพับลิกันต่างมีความอึดอัดใจที่ผลการเจรจาของเขากับประเทศต่างๆมิมีความคืบหน้า ทั้งๆที่เส้นตายก็คือวันอังคารที่ 8 กรกฎาคม 2025 ที่ กำลังใกล้เข้ามา!!!
“วุฒิสมาชิกซูซาน โคลลินส์”แห่งรัฐเมน สังกัดพรรครีพับลิกัน โดยวุฒิสมาชิกหญิงท่านนี้ยังเป็นนักการเมืองคนสำคัญของพรรค โดยเธอได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ประธานาธิบดีทรัมป์ และตั้งคำถามว่า เป็นเพราะเหตุใด?ที่การเจรจาของประธานาธิบดีทรัมป์กับประเทศต่างๆมีความล่าช้า
นอกจากนั้นแล้วการที่มีผู้คนกว่าห้าล้านคนทั่วสหรัฐฯออกมาประท้วงเจ้าหน้าที่ของ “สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากร”หรือที่เรียกย่อๆว่า “ICE” ที่เข้าไปจับกุมผู้คนอย่างหนักหน่วง ก็ได้กลายเป็นเสียงสะท้อนถึงภาพลักษณ์ด้านลบที่มีต่อประธานาธิบดีทรัมป์อีกด้วย
อนึ่งสงครามระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านนั้น จากผลของการหยั่งเสียงของ “สำนักโพล YouGov” ที่เป็นโพลที่แม่นยำอันดับสี่ของสหรัฐฯ ได้เปิดเผยว่าชาวอเมริกันที่เห็นด้วยกับการโจมตีอิหร่านอยู่ 35% และที่ไม่เห็นด้วย 53%
ส่วนในกรณีที่สหรัฐฯสนับสนันอิสราเอลนั้น ปรากฏออกมาว่า มีผู้เห็นด้วยที่สหรัฐฯเข้าไปสนับสนุนอิสราเอลแค่เพียง 16% เท่านั้น โดยมีชาวอเมริกันถึง 60% ไม่เห็นด้วย
ทั้งนี้จากการหยั่งของสำนักรอยเตอร์ส์ร่วมกับสำนักโพล Ipsos ที่สำรวจเมื่อวันที่ 23 มิถุนายนระบุว่า คะแนนนิยมของประธานาธิบดีทรัมป์อยู่ที่ 41% ส่วน 79% ชาวอเมริกันกังวลเกี่ยวกับความไม่ปลอดภัยกับชาวอเมริกันจากอิหร่าน
และจากการหยั่งเสียงของ “สำนักโพล Pew”เมื่อปีกลาย ซึ่งครั้งนั้นชาวอเมริกันมีความเห็นว่าประเทศที่อันตรายต่อสหรัฐฯ ก็คือจีน ที่มีถึง 64% ต่อมาก็รัสเซีย 59% และอิหร่านที่มีเพียง 37%
อย่างไรก็ตามภายหลังจากที่ประธานาธิบดีทรัมป์ออกคำสั่งให้บอมบ์ทำลายโรงงานผลิตนิวเคลียร์ของอิหร่านทั้งสามแห่งไปแล้ว ปรากฎว่ามีเพียงสมาชิกนักการเมืองพรรครีพับลิกันเท่านั้น ที่แสดงความยินดีต่อประธานาธิบดีทรัมป์ โดยนักการเมืองค่ายพรรคเดโมแครตได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ต่อประธานาธิบดีทรัมป์ที่ทำไปโดยพลการ ไม่ยอมปรึกษาหารือให้ดีเสียก่อน
และจากการโจมตีโรงงานผลิตอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่านในครั้งนี้ มีผลทำให้ความขัดแย้งครั้งใหญ่เกิดขึ้นมาในทันที โดยอิสราเอลถือว่าอิหร่านเป็นภัยคุกคาม
ทั้งนี้ขณะที่กำลังมีการประชุมต่างประเทศ BRIGS ที่ประเทศบราซิลกันอยู่นั้น ผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศของรัสเซียได้ออกมากล่าวว่า รัสเซียไม่ต้องการให้สหรัฐฯโจมตีอิหร่าน เพราะจะทำให้เกิดความไม่มั่นคงต่อประเทศในแถบตะวันออกกลางอย่างรุนแรง
และคาดการณ์กันว่าสิ่งที่จะตามมาก็คือ อิหร่านอาจจะออกมาตอบโต้สหรัฐฯอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะสิ่งที่น่าเป็นห่วงกังวลก็คือ กองทัพทหารของสหรัฐฯที่ประจำการณ์อยู่ในแถบประเทศตะวันออกลาง 10ประเทศ ที่มีกำลังทหารกว่า 40,000 นาย โดยเฉพาะใน การ์ต้าร์, คูเวต, บาห์เรน,และ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่อาจจะตกเป็นเป้าโจมตีของอิหร่านมากขึ้นเรื่อยๆ
กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นการที่กองกำลังทหารของสหรัฐฯบินเข้าไปโจมตีโรงงานนิวเคลียของอิหร่านในครั้งนี้ ถือเป็นอีกกรณีหนึ่งที่สหรัฐฯเลือกเอาการใช้กำลังทหาร โดยหลีกเลี่ยงการใช้การทูตในการแก้ปัญหา ทั้งๆที่อดีตผ่านมาในช่วงยี่สิบกว่าปีประธานาธิบดีของสหรัฐฯพยายามหลีกเลี่ยงการใช้กำลังทหาร แต่ในทางกลับกันขณะนี้ดูเหมือนว่า “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” ปรับเปลี่ยนการปกครอง โดยหันมาใช้นโยบายเผชิญหน้า ซึ่งเป็นเรื่องที่สร้างความสลับซับซ้อน แถมการที่เขากีดกันนักศึกษานานาชาติ โดยขัดแย้งกับสถาบันการศึกษาเก่าแก่ชื่อดังอย่าง “ฮาร์วาร์ด” มองๆไปแล้วถือว่า สหรัฐฯกำลังเดินสู่เส้นทางที่จะเป็นประเทศโดดเดี่ยวโฮมอโลน สืบเนื่องจากประธานาธิบดีทรัมป์ไม่แสดงความแยแส แคร์ต่อความรู้สึกของนานาชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อผู้นำเยี่ยง “ประธานาธิบดีวลาดีมีร์ ปูติน”และ “ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง” ละครับ