อัพเดท รายได้ขนส่งพัสดุปี 67 เจ แอนด์ ที – แฟลช พลิกกำไรแตะพันล้าน

ท่ามกลางการเติบโตของตลาดอีคอมเมิร์ซ ในปี 2567 ที่มีมูลค่าทะลุ 1.1 ล้านล้านบาท ทำให้บริษัทขนส่งพัสดุเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง และในสมรภูมินี้ แน่นอนว่า มีอยู่ 3 บิ๊ก ในตลาดที่มีรายได้ระดับ 2 หมื่นล้านบาทขึ้นไป มีการให้บริการและแข่งขันกันอย่างชัดเจน ได้แก่ ไปรษณีย์ไทย แฟลช เอ็กซ์เพรส และ เจ แอนด์ ที เอ็กซ์เพรส ที่ต่างกันสลับมีกำไรและขาดทุน ล่าสุดผลประกอบการในปี 2567 เป็นอย่างไรบ้าง ไปดูกัน

โพสต์ทูเดย์ ค้นหาข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่า เจ แอนด์ ที เอ็กซ์เพรส ที่จดชื่อบริษัทในไทยในชื่อ บริษัท โกลบอล เจท เอ็กซ์เพรส (ไทยแลนด์) จํากัด เติบโตขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะจากยอดส่งพัสดุของ TikTok ที่สังคมกำลังตั้งคำถามว่า ผูกขาดหรือไม่ เพราะพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ ส่วนใหญ่เลือกใช้แต่ เจ แอนด์ ที เอ็กซ์เพรส

ในปี 2567 เจ แอนด์ ที เอ็กซ์เพรส รายได้มาเป็นอันดับ 1 ที่ 25,487,059,726 บาท พลิกกลับมากำไร 819,649,783 บาท จากเดิมที่ในปี 2566 ขาดทุนถึง 7,093,539,484 บาท ขณะที่รายได้อยู่ที่ 18,511,632,702 บาท

บริษัท แฟลช เอ็กซ์เพรส จำกัด ในปี 2567 กำไรมาเป็นอันดับ 1 คือ 940,539,534 บาท ในขณะที่รายได้มาเป็นอันดับ 2 อยู่ที่ 24,728,534,489 บาท ซึ่งนับเป็นผลประกอบการที่ดีกว่าปี 2566 ซึ่งมีรายได้อยู่ที่ 20,093,404,978 บาท ขาดทุน 559,493,897 บาท

ส่วนบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ในปี 2567 รายได้เพิ่มขึ้นจากปี 2566 เล็กน้อย อยู่ที่ 20,993,982,442 บาท ขณะที่ในปี 2566 มีรายได้ 20,934,470,569 บาท แต่ในปี 2566 บริษัทมีกำไร 78,544,800 บาท ส่วนในปี 2567 ขาดทุน 186,845,373 บาท

มั่นใจปี 68 แกร่ง EMS ครึ่งปีแรกโต 10%

ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ไปรษณีย์ไทย เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริการเรือธงอย่างส่งด่วน EMS ในประเทศ ในช่วงครึ่งปีแรกปี 2568 มีทิศทางการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยมีรายได้เติบโตจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 ถึง 10% และคิดเป็น 43.31% ของรายได้รวมองค์กรทั้งหมด

ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนถึงความมั่นใจด้านการส่งด่วนของภาคประชาชน และภาคธุรกิจในหลาย ๆ พื้นที่ทั่วประเทศ ทั้งนี้ ปัจจัยที่ทำให้ส่งส่วน EMS ในประเทศเติบโตขึ้นมาจากการให้ความสำคัญด้านคุณภาพบริการ โซลูชันตอบโจทย์ผู้ใช้บริการที่หลากหลาย การออกแบบระบบขนส่งให้สอดคล้องกับพัสดุ ตั้งแต่แพ็กเกจจิ้งจนถึงระบบการขนส่ง เช่น ส่งของชิ้นใหญ่ ส่งต้นไม้ ส่งของสดการให้บริการที่ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ

โดยเฉพาะจากกลุ่มอีคอมเมิร์ซ และกลุ่มตัวแทนที่ให้บริการรับฝากส่งสิ่งของ (Consolidator / Agent) ราคาที่ช่วยให้ผู้ใช้บริการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาบริการรองรับสิ่งของมูลค่าสูง (High Value) เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าในตลาดใหม่ เช่น กลุ่มธุรกิจค้าขายทองคำ การพัฒนาระบบการให้บริการขนส่งผลไม้ พันธุ์ไม้ และผลผลิตทางการเกษตร

แม้การแข่งขันในตลาดขนส่งพัสดุจะยังคงรุนแรง แต่การที่ไปรษณีย์ไทยสามารถสร้างรายได้ EMS เติบโตถึง 10% จากการปรับกลยุทธ์ด้านคุณภาพ ราคา บริการ และระบบสนับสนุนในครึ่งปีแรก 2568 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจให้ก้าวทันความเปลี่ยนแปลง และกลายเป็นผู้ให้บริการโลจิสติกส์ที่เข้าใจตลาดอย่างแท้จริง

ทั้งนี้ มาจากการวิเคราะห์เชิงลึกว่าลูกค้าแต่ละกลุ่มต้องการอะไรและจะวางระบบบริการและราคาที่เหมาะสมอย่างไรเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนมากกว่าการแข่งขันด้านต้นทุนเพียงอย่างเดียว

ดนันท์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับแนวทางการดำเนินงานในไตรมาส 3 และ 4 ไปรษณีย์ไทยยังมุ่งรักษาการเติบโต และความเป็นผู้นำบริการส่งด่วนที่เข้าใจตลาดอย่างแท้จริง โดยเตรียมดำเนินกลยุทธ์ดังนี้

· ขยายการให้บริการ EMS ที่ออกแบบเฉพาะกลุ่มพร้อมพัฒนาแพ็กเกจบริการที่สอดคล้องกับลักษณะสินค้าเฉพาะทาง เช่น ยาและเวชภัณฑ์ สินค้าในกลุ่มที่ต้องการการจัดส่งแบบปลอดภัย หรือสินค้าที่มีอายุการใช้งานสั้น รวมทั้งกลุ่มสินค้าเกษตรและผลไม้ซึ่งปัจจุบันกำลังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง

· ขยายจุดบริการ EMS Point ตามแหล่งชุมชนและคอมมูนิตี้ที่เป็นแหล่งรวมธุรกิจอีคอมเมิร์ซเพื่อเพิ่มช่องทางการฝากส่งที่สะดวกและรองรับการเติบโตในระดับพื้นที่ ทั้งรูปแบบของร้านสะดวกซื้อ ร้านค้าชุมชน คาเฟ่ เป็นต้น

ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ไปรษณีย์ไทย

· ตอกย้ำจุดแข็งด้านต้นทุนและมาตรฐานความรวดเร็ว ผ่านการพัฒนาแพ็กเกจบริการ EMS ที่ช่วยควบคุมค่าใช้จ่ายให้ภาคธุรกิจโดยปรับโครงสร้างราคาที่คิดตามน้ำหนักจริงในอัตราเดียวทั่วประเทศ พร้อมอัตราพิเศษสำหรับกลุ่มผู้ค้าออนไลน์และภาคธุรกิจที่มีปริมาณการส่งสูง โดยคงจุดเด่นด้านความรวดเร็วในการจัดส่งภายใน 1–2 วัน พร้อมมาตรฐานการบริการเดียวกันทั่วประเทศ