เตือนผู้ยื่นแทน ภ.ง.ด.53 ต้องยื่นออนไลน์เท่านั้น เริ่ม 1 ก.ค.68
ในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทในทุกด้านของชีวิต การจัดการภาษีก็เป็นอีกหนึ่งระบบที่ถูกปรับให้ทันสมัยและตอบโจทย์การใช้งานมากขึ้น ล่าสุดกรมสรรพากรได้ประกาศเปลี่ยนแปลงสำคัญเกี่ยวกับการยื่นแบบภาษีหัก ณ ที่จ่าย หรือ ภ.ง.ด.53 ซึ่งผู้ที่กระทำการยื่นภาษีแทนผู้อื่นจำเป็นต้องรู้ไว้ นั่นคือ…ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป การยื่นแบบ ภ.ง.ด.53 จะต้องดำเนินการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เท่านั้น
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กสำหรับทั้งผู้เสียภาษี เจ้าของกิจการ นักบัญชี รวมถึงสำนักงานบัญชีที่รับยื่นแบบภาษีแทนลูกค้า เพราะหากยังใช้วิธีการเดิมโดยไม่ปรับตัวให้ทันอาจถูกปฏิเสธการยื่นแบบ และมีผลกระทบต่อการเสียภาษีตามกฎหมายได้
บทความนี้จะพาไปสำรวจรายละเอียดของการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว พร้อมทั้งแนวทางการเตรียมตัวให้พร้อมก่อนถึงวันบังคับใช้จริง
ภ.ง.ด.53 คืออะไร?
ก่อนจะพูดถึงการเปลี่ยนแปลง เรามาทบทวนกันก่อนว่า “ภ.ง.ด.53” คืออะไร…
ภ.ง.ด.53 เป็นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย สำหรับกรณีที่ผู้มีหน้าที่จ่ายเงินได้พึงประเมิน ให้แก่บุคคลหรือนิติบุคคลในประเทศ และมีหน้าที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายตามที่กฎหมายกำหนด เช่น ค่าบริการ ค่าเช่า ค่าคอมมิชชั่น ฯลฯ แล้วนำส่งกรมสรรพากรในเดือนถัดไป โดยแบบ ภ.ง.ด.53 นี้จะใช้ในกรณีที่ “ผู้จ่าย” และ “ผู้รับเงิน” ต่างก็อยู่ในประเทศ
ใครได้รับผลกระทบบ้าง?
ประกาศฉบับใหม่นี้มีผลเฉพาะกรณีที่ “มีผู้ดำเนินการยื่นแบบแทนผู้มีหน้าที่เสียภาษี” กล่าวคือ หากคุณเป็น
• นักบัญชี
• เจ้าหน้าที่ของบริษัทที่ได้รับมอบหมายให้ยื่นแบบ
• สำนักงานบัญชีที่ยื่นแบบแทนลูกค้า
คุณจำเป็นต้องเปลี่ยนวิธีการยื่นแบบจากการเดินทางไปยื่นที่สำนักงานสรรพากร มาเป็นการยื่น ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เท่านั้น ซึ่งสามารถทำผ่าน
• เว็บไซต์กรมสรรพากร https://efiling.rd.go.th
• โปรแกรม RD Prep
• Application RD Smart Tax
ในกรณีที่ผู้จ่ายเงินเป็นผู้ยื่นแบบด้วยตนเอง ก็ยังสามารถเลือกยื่นด้วยวิธีเดิมได้ตามปกติ (ณ จุดบริการของสรรพากร) แต่หากมอบหมายให้ผู้อื่นยื่นแทน ต้องเปลี่ยนเป็นการยื่นออนไลน์เท่านั้น
ทำไมต้องเปลี่ยนเป็นออนไลน์?
การยื่นแบบภาษีผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์มีข้อดีหลายประการ ได้แก่
1. ลดขั้นตอนและเวลา ไม่ต้องเดินทางไปยังสำนักงานสรรพากร ประหยัดเวลาในการจัดการเอกสาร
2. ลดความผิดพลาด ระบบสามารถตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลเบื้องต้น ช่วยลดโอกาสในการยื่นแบบผิด
3. เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดการใช้กระดาษและทรัพยากรอื่นๆ
4. ตรวจสอบย้อนหลังได้สะดวก มีประวัติการยื่นแบบเก็บไว้ในระบบ สามารถนำมาอ้างอิงย้อนหลังได้
5. สอดรับกับการพัฒนาระบบภาษีของประเทศสู่ยุคดิจิทัล
จากเหตุผลข้างต้น จึงไม่น่าแปลกใจที่กรมสรรพากรจะเดินหน้านโยบายนี้อย่างจริงจัง และเริ่มบังคับใช้ในปี 2568 เป็นต้นไป
คำแนะนำสำหรับ “ตัวแทนผู้ถูกหักภาษี” ภายใต้ข้อกฎหมายล่าสุด
เพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวายเมื่อกฎหมายมีผลบังคับใช้จริง ต่อไปนี้คือข้อแนะนำสำหรับผู้ที่ต้องยื่นแบบภาษีแทนผู้อื่น
1. ลงทะเบียนผู้ใช้งานระบบ e-Filing หากยังไม่เคยลงทะเบียน ต้องดำเนินการให้เรียบร้อย โดยใช้เลขประจำตัวผู้เสียภาษี (ของผู้ที่ยื่นแทน) และรหัสผ่านที่ได้รับ
2. ขอหนังสือมอบอำนาจจากผู้เสียภาษี เพื่อเป็นหลักฐานแสดงความถูกต้องของการกระทำแทนผู้มีหน้าที่เสียภาษี
3. ศึกษาวิธีใช้งานระบบยื่นภาษีออนไลน์ สามารถดูคู่มือการใช้งานจากเว็บไซต์กรมสรรพากร หรือทดลองใช้ระบบล่วงหน้าเพื่อสร้างความคุ้นเคย
4. ตรวจสอบความพร้อมของเอกสารและข้อมูล เช่น รายการหักภาษี ณ ที่จ่าย เลขประจำตัวผู้เสียภาษีของคู่ค้า อัตราภาษีที่ถูกต้อง ฯลฯ
5. กำหนดวันยื่นภาษีให้ชัดเจน อย่ารอจนถึงวันสุดท้าย ควรยื่นล่วงหน้าเพื่อป้องกันระบบล่มหรือผิดพลาดทางเทคนิค
ผลกระทบหากไม่ปฏิบัติตาม
หากยังคงยื่นแบบด้วยวิธีเดิม (เดินทางไปยื่นที่สำนักงาน) ทั้งที่เป็นผู้ยื่นแทน อาจประสบปัญหาเหล่านี้
• แบบภาษีอาจไม่ถูกรับพิจารณา
• เสี่ยงต่อการถูกปรับทางภาษี
• เกิดความล่าช้าในการยื่นภาษีและอาจเสียค่าปรับกรณียื่นล่าช้า
• ส่งผลเสียต่อความน่าเชื่อถือของผู้ทำบัญชีหรือสำนักงานบัญชีที่ดูแลภาษีให้ลูกค้า
สรุป…
การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการยื่นแบบ ภ.ง.ด.53 ให้ดำเนินการผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ สำหรับผู้ที่ยื่นภาษีแทนผู้อื่น ถือเป็นอีกก้าวของการพัฒนาระบบภาษีไทยให้ทันสมัย โปร่งใส และมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยจะเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป
ดังนั้นไม่ว่าคุณจะเป็นนักบัญชี เจ้าของกิจการ หรือสำนักงานบัญชี ควรเริ่มเตรียมตัวตั้งแต่วันนี้ อย่ารอจนถึงวินาทีสุดท้าย เพราะการปรับตัวล่วงหน้าจะช่วยให้สามารถจัดการภาษีได้อย่างราบรื่น ไม่สะดุด และไม่มีความเสี่ยงทางกฎหมายในภายหลังอีกด้วย
อ่านบทความน่ารู้เกี่ยวกับภาษี เพิ่มเติม คลิกที่นี่
Source : Inflow Accounting