'เด็กเกิดน้อย' สั่นคลอนอนาคตชาติ ศูนย์มีบุตรยาก-นมแม่ กู้วิกฤติเด็กเกิดน้อย
ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ เมื่ออัตราการเกิดของประชากรลดลงอย่างต่อเนื่อง จนน่ากังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมในระยะยาว ตัวเลขสถิติที่น่าตกใจสะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มที่ชัดเจน ครอบครัวไทยมีบุตรน้อยลง หรือบางคู่เลือกที่จะไม่มีบุตรเลย ปัญหาดังกล่าวมีปัจจัยซับซ้อน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และค่านิยมที่เปลี่ยนแปลงไป
ปัญหาเด็กไทยเกิดน้อยเป็นวาระแห่งชาติ ที่ทุกฝ่ายต้องตระหนักและร่วมมือกันแก้ไข เพราะจำนวนประชากรวัยแรงงานที่ลดลงจะส่งผลให้ขาดแคลนแรงงานในภาคส่วนต่างๆ ทั้งภาคอุตสาหกรรมและบริการ ทำให้การผลิตและขับเคลื่อนเศรษฐกิจชะลอตัวลง
นอกจากนี้จำนวนประชากรที่ลดลงทำให้กำลังซื้อและอุปสงค์ภายในประเทศลดลง ส่งผลให้เศรษฐกิจโดยรวมหดตัวลง ขาดแคลนประชากรวัยหนุ่มสาวที่มีศักยภาพในการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ จะทำให้ประเทศขาดแรงขับเคลื่อนในการพัฒนาเศรษฐกิจและเทคโนโลยีการขาดแคลนแรงงานและนวัตกรรมจะทำให้ศักยภาพในการแข่งขันของประเทศในเวทีโลกถดถอยลง
รวมทั้ง สังคมไทยจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบ โดยคาดว่าจะมีผู้สูงอายุถึง 1 ใน 5 ของประชากรทั้งหมดครอบครัวที่มีบุตรน้อยลงจะทำให้บุตรหลานมีภาระในการดูแลผู้สูงอายุมากขึ้น ทั้งในด้านการเงินและเวลาที่สำคัญงบประมาณของประเทศจะถูก
ถึงเวลา“ลงมือทำ”เพื่ออนาคตของชาติ
“นพ.นิธิวัฒน์ กิจศรีอุไร” ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท ให้สัมภาษณ์ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่าเมื่อมีประชากรสูงวัยมากขึ้นและมีจำนวนเด็กเกิดใหม่น้อยลง ภาระค่าใช้จ่ายในการดูแลผู้สูงอายุ เช่น ค่ารักษาพยาบาลและสวัสดิการต่างๆ ก็จะเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นภาระทางการคลังของประเทศ ท่ามกลางวิกฤติการณ์นี้ “ศูนย์รักษาภาวะมีบุตรยาก” ได้กลายเป็นความหวังของหลายคู่รักที่ต้องการมีบุตร แต่ประสบปัญหาทางสุขภาพ ด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัยและทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
ศูนย์เหล่านี้สามารถให้การวินิจฉัยและรักษาภาวะมีบุตรยากได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการทำเด็กหลอดแก้ว (IVF), การฉีดน้ำเชื้อ(IUI) หรือเทคนิคอื่นๆ ที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล ข้อมูลจากหลายศูนย์รักษาภาวะมีบุตรยากชี้ให้เห็นถึงอัตราความสำเร็จที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากในอดีตความสำเร็จมีประมาณ 30% ปัจจุบันเทคโนโลยีมีความก้าวหน้ามากขึ้นเพิ่มโอกาสของเด็กเกิดใหม่ได้ถึง 40-60%
“พลังนมแม่” สร้างเด็กให้แข็งแรง ลดภาระค่าใช้จ่าย เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเพิ่มคุณภาพของเด็กทั้งด้าน IQ, EQ ส่งผลต่อ SQ และ MQ เมื่อเด็กเจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในอนาคต นอกจากนี้องค์การอนามัยโลก ยังสนับสนุนให้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ด้วยการส่งเสริมสำหรับทารกแรกเกิด เพราะเป็นโภชนาการที่ดีที่สุดในช่วง 6 เดือนแรก และยังช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับทารกในช่วง 2 เดือนแรกของชีวิต
"ช่วยลดอัตราการเจ็บป่วยของทารก ลดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล และส่งผลดีต่อพัฒนาการในระยะยาว เมื่อเด็กมีสุขภาพแข็งแรงและเติบโตอย่างมีคุณภาพ ก็จะเป็นทรัพยากรบุคคลที่มีค่าของประเทศในอนาคต” นพ.นิธิวัฒน์ กล่าวในงาน World Breastfeeding Week 2025 สร้างพลังแห่งนมแม่ สู่ครอบครัวที่แข็งแรง
ทั้งนี้ การดำเนินการเพื่อสนับสนุนให้มีอัตราการเกิดมากขึ้นต้องครอบคลุมหลายมิติทั้งด้านการแพทย์ สังคม และเศรษฐกิจ โดยการสนับสนุนการรักษาภาวะมีบุตรยาก รัฐบาลควรมีนโยบายสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการรักษาภาวะมีบุตรยาก (infertility) ให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น
เช่น การนำเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ (Assisted Reproductive Technology - ART) เข้ามาอยู่ในสิทธิประกันสุขภาพ หรือการสนับสนุนเงินทุนบางส่วนเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูบุตร ลดหย่อนภาษี และการศึกษาของเด็ก จัดตั้งศูนย์เชี่ยวชาญเพื่อดูแลสุขภาพคู่สมรสอย่างครอบคลุมจะช่วยให้คู่รักสามารถวางแผนครอบครัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเข้ารับการปรึกษาปัญหาต่างๆ ได้ตั้งแต่เนิ่นๆ
นอกจากนี้ การส่งเสริมการเลี้ยงดูบุตร รัฐบาลควรสนับสนุนการให้ความรู้และสร้างความเข้าใจในการเลี้ยงดูบุตรอย่างมีคุณภาพ รวมถึงการรณรงค์ให้ความสำคัญกับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ซึ่งมีประโยชน์ต่อพัฒนาการทางสมองและภูมิคุ้มกันของเด็ก พิจารณาขยายระยะเวลาการลาคลอดให้ยาวนานขึ้นเพื่อเปิดโอกาสให้แม่และเด็กได้ใกล้ชิดกันในช่วงเวลาที่สำคัญหลังคลอด นอกจากนี้ควรส่งเสริมให้ผู้ชายสามารถลาเพื่อช่วยดูแลบุตรได้มากขึ้น เพื่อแบ่งเบาภาระของฝ่ายหญิง
"รัฐบาลควรเพิ่มจำนวนและยกระดับคุณภาพของสถานรับเลี้ยงเด็ก (child care centers) ให้เพียงพอและมีมาตรฐาน เพื่อให้พ่อแม่สามารถกลับไปทำงานได้อย่างไร้กังวล มีมาตรการลดหย่อนภาษีที่เกี่ยวข้องกับการมีบุตรและการเลี้ยงดูบุตร เช่น การลดหย่อนภาษีสำหรับค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูบุตร การศึกษา หรือการรักษาพยาบาล จัดสรรสวัสดิการที่เหมาะสมสำหรับครอบครัวที่มีบุตรเช่น เงินช่วยเหลือค่าเลี้ยงดูบุตรจนถึงอายุที่กำหนด เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูบุตร ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ทำให้คู่รักตัดสินใจมีบุตรน้อยลง”
สำหรับผู้ที่มาใช้บริการรักษาภาวะมีบุตรยากของสมิติเวชมีทั้งคนไทยและต่างชาติโดยมีสัดส่วน 50 : 50 โดยมีอัตราการตั้งครรภ์สำเร็จประมาณ 60% ถือมีความก้าวหน้ามากขึ้นเมื่อเทียบกับครั้งแรกที่ให้บริการอัตราตั้งครรภ์สำเร็จประมาณ 30% ซึ่งเป็นแนวทางหนึ่งที่ช่วยแก้ปัญหาเด็กไทยเกิดใหม่น้อยลงได้
ผู้รับบริการชาวไทยนิยม ICSI
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้เผยแพร่บทวิเคราะห์แนวโน้มธุรกิจบริการรักษาภาวะมีบุตรยาก(Fertility Services) ในปี 2568 โดยคาดว่าตลาดโดยรวมของไทยจะมีมูลค่าสูงถึง 6.1พันล้านบาท มูลค่าตลาดผู้รับบริการชาวไทยในปี 2568 คาดว่าจะอยู่ที่ 3.38 พันล้านบาทเติบโต 2.8%
ปัจจัยหลักมาจากการที่คนไทยมีค่านิยมในการมีบุตรช้าลงสะท้อนจากสัดส่วนการคลอดของหญิงไทยที่มีอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากเดิมที่เคยมีสัดส่วนราว 35% ในปี 2555 คาดว่าจะขยับมาเป็น 46% ในปี 2568 รวมถึงหลายคู่ประสบภาวะมีบุตรยากจากปัญหาสุขภาพ เช่น ความไม่สมบูรณ์ของฮอร์โมนโรคอ้วน และโรคเครียดจากการทำงาน เป็นต้น
หลังโควิดจำนวนรอบการรักษาด้วยวิธี IUI มีสัดส่วนลดลงจาก 31% ในปี 2565 คาดว่าจะเหลือเพียง 28% ในปี 2568 เช่นเดียวกับการทำเด็กหลอดแก้วแบบปกติ (IVF) ที่อัตราการเติบโตของรอบการรักษาเพิ่มขึ้นเฉลี่ยเพียง 1.2%ต่อปี ขณะที่การรักษาด้วยการทำเด็กหลอดแก้วแบบเฉพาะเจาะจง (ICSI) มีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 7.2%ต่อปี (CAGR ปี2565-2568)
ภาวะมีบุตรยากที่พบในคู่สมรสชาวไทยมีความซับซ้อนและพบว่าเกิดในฝั่งเพศชายมากขึ้นจากความไม่สมบูรณ์ของน้ำเชื้ออสุจิตามพฤติกรรมเสี่ยงเช่น การสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ และความผิดปกติที่เกิดจากการใช้ยารักษาโรคบางชนิด เป็นต้น ซึ่งการรักษาด้วย ICSI ที่เป็นนวัตกรรมใหม่จะให้อัตราความสำเร็จที่สูงกว่าวิธีอื่นๆ หากผู้รักษามีภาวะข้างต้น