10 Key Takeaways เสวนา Round Table 'The Art of the (Re) deal'
“กรุงเทพธุรกิจ” ชวนอ่าน 10 ประเด็นสำคัญจากงานเสวนา "กรุงเทพธุรกิจ Round Table The Art of the (Re) deal" ในวันที่ 14 ก.ค.2568 งานเสวนาที่ชวนนักวิชาการ ผู้กำหนดนโยบายทั้งภาครัฐ และเอกชนพูดคุยเกี่ยวกับการขึ้นภาษีศุลกากรของโดนัลด์ ทรัมป์ ต่อประเทศไทย
1. ภาษีทรัมป์ 36% และความไม่แน่นอนของการเจรจา: ประเทศไทยถูกกำหนดอัตราภาษี Reciprocal Tariff ไว้ที่ 36% ซึ่งสูงมาก สถานการณ์ในปัจจุบันยังคง "ไม่ชัดเจน" และ "ไม่สามารถคาดเดาได้" ว่าบทสรุปของการเจรจาจะเป็นอย่างไร การเจรจาไม่ใช่แค่เรื่องภาษี แต่รวมถึง เงื่อนไขนอกเหนือภาษี อีกมาก และสหรัฐต้องการ "ชัยชนะที่เห็นผลรวดเร็ว"
2. เงื่อนไข Local Content และ Transhipment คือ ความท้าทายหลัก: สหรัฐต้องการเจรจาเรื่อง Local Content (สัดส่วนการผลิตภายในประเทศ) ซึ่งอาจกำหนดอัตราสูงถึง 60%, 70% หรือ 80% และประเด็น Transhipment (การสวมสิทธิ) ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สหรัฐให้ความสนใจ และจับตามองอย่างใกล้ชิด การทำงานของกรมการค้าต่างประเทศ และ BOI ในการตรวจสอบ Certificate of Origin (COO) อย่างเข้มข้นเป็นสิ่งจำเป็น
3. เวียดนามคือ ตัวเปรียบเทียบที่น่าจับตา: เวียดนามถูกยกมาเป็น "benchmark" ที่น่าสนใจ โดยโดนภาษีที่ 20% สำหรับสินค้าที่ส่งออกจากเวียดนามไปสหรัฐ และ 40% หากเป็นสินค้าจากประเทศที่สามส่งผ่านเวียดนาม มีการตั้งคำถามว่าไทยควรได้อัตราภาษีที่น้อยกว่าเวียดนามหรือไม่ เนื่องจากไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐน้อยกว่า และมีTranshipment น้อยกว่า
4. มาตรการเยียวยา Soft Loan 2 แสนล้านบาท: รัฐบาลเตรียมมาตรการเยียวยาผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะ SMEs และภาคเกษตร มีการเตรียมวงเงิน Soft Loan ประมาณ 200,000 ล้านบาท ผ่านธนาคารภาครัฐด้วยอัตราดอกเบี้ยต่ำเพียง 0.01%
5. "วิกฤติเป็นโอกาส" สำหรับการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ: สถานการณ์นี้ถูกมองว่าเป็น "โอกาส" ที่จะผลักดันการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว เช่น การปรับปรุงประสิทธิภาพภาคเกษตร, การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน, การส่งเสริม Digital Economies, และการยกระดับบุคลากร
6. ผลกระทบต่อภาคการส่งออก และอุตสาหกรรมสำคัญ: สหรัฐเป็นตลาดส่งออกสำคัญของไทย คิดเป็น 18% ของยอดส่งออกทั้งหมด ภาคอิเล็กทรอนิกส์ และเซมิคอนดักเตอร์เป็นหนึ่งในภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด รวมถึงความกังวลเรื่องการจำกัดการส่งชิป AI ขั้นสูงจากสหรัฐ และคาดการณ์ว่าการส่งออกไปสหรัฐในช่วงครึ่งปีหลังจะลดลงอย่างเห็นได้ชัด
7. ปัจจัยดึงดูดการลงทุนไทยยังคงแข็งแกร่ง (นอกเหนือภาษี): แม้มีประเด็นภาษี แต่ BOI มองว่าไทยยังมีจุดแข็งในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ เช่น โครงสร้างพื้นฐาน (น้ำ, ไฟ, นิคมอุตสาหกรรม, ท่าเรือ, สนามบิน), Supply Chain ที่แข็งแกร่ง (ยานยนต์, อิเล็กทรอนิกส์), บุคลากรฝีมือ และสิทธิประโยชน์จากภาครัฐ รวมถึง Market Access ผ่านข้อตกลงทางการค้า ต่างๆ
8. การบริหารความสัมพันธ์ระหว่างขั้วอำนาจ (สหรัฐ-จีน): สถานการณ์นี้กำลัง "บังคับให้ไทยเลือก" ระหว่างสหรัฐกับจีน ซึ่งเป็นความท้าทายอย่างยิ่ง การกำหนด Regional Value Content (RVC) ของสหรัฐอาจทำให้ไทยต้องลดสัดส่วนวัตถุดิบจากจีน
9. ความล่าช้าในการเจรจาอาจเป็นผลดี: แม้ไทยอาจเริ่มเจรจาช้ากว่าบางประเทศ แต่คุณพิชัย ชุณหวชิร ขุนคลังของประเทศไทย มองว่า การได้เห็นข้อมูล และเงื่อนไขของประเทศอื่นก่อน เช่น เวียดนาม ทำให้ทีมไทยแลนด์มีข้อมูลประกอบการพิจารณา และวางแผนได้ดีขึ้น
10. การทำงานร่วมกัน และการปรับตัวของทุกภาคส่วน : มีการเรียกร้องให้ภาครัฐ และภาคเอกชนทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด รวมถึงการเร่งผลักดัน Digital Government และ One Stop Service เพื่อลดต้นทุน และอำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจ และการพิจารณานโยบายภายในประเทศ เช่น ค่าแรงขั้นต่ำ เพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขัน
สามารถรับชมงานเสวนาฉบับเต็มได้ที่ Youtube ของกรุงเทพธุรกิจ
พิสูจน์อักษร….สุรีย์ ศิลาวงษ์