เมย์แบงก์เจาะลึกตลาดหุ้นจีนผ่านสัมมนา “Deep Dive China” เปิดมุมมองใหม่สู่โอกาสการลงทุนยุคฟื้นตัว
บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านการให้คำปรึกษาการลงทุน ด้วยการจัดสัมมนาสุดเอ็กซ์คลูซีฟ “Deep Dive China” สำหรับลูกค้าและนักลงทุนผู้สนใจตลาดหุ้นจีน ภายในงานมีการวิเคราะห์สถานการณ์เศรษฐกิจมหภาค และแนะนำหุ้นศักยภาพสูงจากทีมผู้เชี่ยวชาญระดับภูมิภาค เพื่อเชื่อมโยงมุมมองเศรษฐกิจโลกกับกลยุทธ์การลงทุนเชิงลึกในปี 2025
ไฮไลต์ของงานอยู่ที่การบรรยายโดย เอริกา เทย์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจมหภาค กลุ่มธุรกิจการลงทุน เมย์แบงก์ (สิงคโปร์) นักวิเคราะห์เจ้าของบทวิเคราะห์ที่ได้รับการอ้างอิงจาก Bloomberg และ CNBC และกิติชาญ ศิริสุขอาชา Head of Investment Solutions เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ผู้เชี่ยวชาญด้านการวางแผนการลงทุนและคัดเลือกหุ้นเด่น นำเสนอข้อมูลเศรษฐกิจจีนที่สะท้อนถึงการฟื้นตัวท่ามกลางความท้าทาย พร้อมแนะนำหุ้นและกองทุนที่มีศักยภาพในการเติบโตระยะยาว
จีนยังไปต่อได้…แม้ยังมีแรงกดดัน
การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนในไตรมาส 2/2568 เติบโต 5.2% แบบ real GDP แม้จะเผชิญกับเงินฝืดและความอ่อนแอของภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งยังคงเป็นจุดเปราะบาง ขณะที่ภาคการบริโภคและการส่งออกกลับมาเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ โดยได้แรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นภาครัฐ อาทิ เงินอุดหนุนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และนโยบายกระตุ้นการเปลี่ยนเครื่องเก่า
ในด้านเทคโนโลยี มีข้อมูลจาก Australian Strategic Policy Institute ชี้ว่าจีนสามารถลดช่องว่างด้านนวัตกรรมกับประเทศผู้นำได้อย่างรวดเร็ว โดยขึ้นเป็นผู้นำใน 57 จาก 64 สาขาเทคโนโลยีสำคัญของโลก ซึ่งรวมถึง AI, ชิปขั้นสูง,โดรน, พลังงานแสงอาทิตย์ และควอนตัมคอมพิวติ้ง ส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจมีแนวโน้มทรงตัวและสร้างเสถียรภาพมากขึ้นนอกจากนี้ การผ่อนคลายความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่เริ่มเห็นสัญญาณบวกจากการลดภาษีนำเข้าในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ยังถือเป็นปัจจัยหนุนเชิงจิตวิทยาต่อตลาดทุน
กลยุทธ์ลงทุน 2025: จีนยังน่าสนใจ หุ้นเทคฯ และประกันยังโดดเด่น
เมย์แบงก์ ยังคงมุมมอง “Overweight” ต่อการลงทุนในตลาดจีน ควบคู่กับตลาดสหรัฐฯ โดยมีแรงหนุนจากการเติบโตของกำไร บรรยากาศเศรษฐกิจโลกที่เอื้อต่อการฟื้นตัว และแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในช่วงปลายปี สำหรับตลาดจีน แม้จะเผชิญความท้าทายจากภาคอสังหาฯ และกำลังซื้อภายในประเทศที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ แต่ก็มีความหวังจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและการปรับโครงสร้างภาคการผลิตไปสู่เทคโนโลยีขั้นสูง
ในส่วนของหุ้นเด่นที่แนะนำ เมย์แบงก์ให้น้ำหนักไปที่ Xiaomi ซึ่งเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีที่กำลังรุกเข้าสู่ตลาด Smart EV อย่างจริงจัง โดยมองว่า Smart EV จะกลายเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนการเติบโตของบริษัทในระยะยาว พร้อมได้รับแรงสนับสนุนจากนโยบายกระตุ้นการบริโภคของรัฐบาลจีน โดยเฉพาะในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าและเทคโนโลยี ซึ่งทำให้ยอดขายของ Xiaomi เติบโตอย่างมีนัยสำคัญในช่วงที่ผ่านมา อีกหนึ่งหุ้นที่แนะนำคือ Ping An Insurance ซึ่งได้อานิสงส์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน และการขยายธุรกิจ Health Tech ผ่านแพลตฟอร์ม “Ping An Good Doctor” ที่ตอบรับกับแนวโน้มสังคมผู้สูงวัยของจีน นอกจากนี้ยังมีจุดเด่นเรื่องอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่สูงถึง 4.5% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มประกัน ทำให้ยังเป็นหุ้นที่มีความน่าสนใจเมื่อเปรียบเทียบกับความเสี่ยง
ด้านกองทุนแนะนำ เมย์แบงก์ชู “MEGA10 AICHINA-A” ซึ่งเน้นลงทุนใน 10 บริษัทชั้นนำของจีนในกลุ่มเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยคัดเลือกผ่านเกณฑ์เชิงคุณภาพ ขนาด และสภาพคล่อง ภายใต้ดัชนีอ้างอิง Hang Seng Artificial Intelligence Theme Index หุ้นในพอร์ตประกอบด้วยผู้นำในตลาดจีน อาทิ Tencent, Xiaomi, Alibaba, Meituan และ Baidu ซึ่งมีบทบาทในธุรกิจ Social Network, E-commerce, Gaming และ Smart Tech โดยหลายบริษัทมีศักยภาพการเติบโตที่โดดเด่น และราคาหุ้นยังมีอัพไซด์สูงกว่า 20–30% จากราคาปัจจุบัน อีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ต้องการลงทุนในหุ้นจีนขนาดใหญ่ผ่านกลยุทธ์แบบ Passive คือ “SCBCEH” ซึ่งอิงกับดัชนี Hang Seng China Enterprises Index (HSCEI) ที่รวมหุ้นจีนกลุ่ม H-Share จากหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น การเงิน พลังงาน โทรคมนาคม และเทคโนโลยี ทั้งยังมีจุดเด่นคือสัดส่วนการถือหุ้นโดยภาครัฐที่สูงถึง 41.16% ซึ่งสะท้อนความมั่นคงจากนโยบายรัฐที่หนุนการเติบโตของบริษัทเหล่านี้ในระยะยาว
นอกจากนี้ยังมีเครื่องมือทางเลือกสำหรับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนแบบคงที่ในระยะสั้นอย่าง KIKO Notes (Knock-in Knock-out Structured Notes) ซึ่งออกโดย Maybank Securities เอง โดยมีระดับความน่าเชื่อถือ AA จาก Fitch Ratings ผลิตภัณฑ์นี้เหมาะสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ โดยมีหุ้นอ้างอิง เช่น Xiaomi และ Ping An ที่ให้อัตราคูปองสูงถึง 10–15% ต่อปี พร้อมระดับ Knock-in Barrier ที่แตกต่างกัน เพื่อตอบโจทย์นักลงทุนที่มีความต้องการกระจายความเสี่ยงและบริหารสภาพคล่องระยะสั้น
การจัดสัมมนาครั้งนี้ สะท้อนบทบาทของเมย์แบงก์ในฐานะพันธมิตรทางการเงินที่พร้อมเชื่อมต่อโอกาสระดับภูมิภาคให้แก่นักลงทุนไทย ผ่านข้อมูลเชิงลึกและการวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ที่ชัดเจน พร้อมโปรโมชั่นพิเศษเฉพาะผู้เข้าร่วมงาน เพื่อให้การลงทุนในตลาดหุ้นจีนของปี 2025 มีความมั่นใจยิ่งขึ้นในยุคที่เศรษฐกิจโลกกำลังก้าวสู่จุดเปลี่ยนสำคัญ
website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO