เปิดแนวโน้มอาหารโลกบนเส้นด้ายกลางศึกสงคราม-อากาศ-การค้าป่วน
สะท้อนความจำเป็นของการใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิผล ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และใช้กฎเกณฑ์การค้าระหว่างประเทศที่ได้ตกลงในระดับพหุภาคี
รายงานนี้นำเสนอการประเมินแนวโน้มตลาดสินค้าโภคภัณฑ์เกษตร ปศุสัตว์และประมงในระดับชาติ ระดับภูมิภาค และระดับโลก เพื่อข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการวางนโยบายบนพื้นฐานของข้อมูล และคาดการณ์นี้ภูมิทัศน์ของโลกที่เต็มไปด้วยความท้าทายทางเศรษฐกิจ การเมือง และสิ่งแวดล้อม
คนกินอาหารมีคุณภาพขึ้น
พบว่าประชากรโลกจะมีการบริโภคอาหารที่หลากหลายและมีคุณค่าทางโภชนาการมากขึ้น โดยพลังงานที่มาจากผลิตภัณฑ์จากปศุสัตว์และปลาจะเพิ่มขึ้น 6% ทำให้ปริมาณการบริโภคอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการต่อหัวเฉลี่ยต่อวันในภูมิภาคเหล่านี้อยู่ที่ 360 กิโลแคลอรี สูงกว่า 300 กิโลแคลอรีตามมาตรฐานของ FAO
หากภาคการเกษตรนำเทคโนโลยีลดการปล่อยก๊าซที่มีอยู่ในปัจจุบันมาใช้อย่างแพร่หลาย เช่น เกษตรแม่นยำ การบริหารดินและน้ำที่ดีขึ้น การปรับปรุงอาหารสัตว์ในระบบปศุสัตว์ และแนวทางปฏิบัติที่ขยายผลได้ในวงกว้างและมีต้นทุนต่ำ เช่น การปลูกพืชหมุนเวียน การปลูกพืชแซม และการปรับปรุงดินโดยใช้ปุ๋ยหมัก จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกดังกล่าวได้7% ทำให้ผลผลิตอาหารเพิ่ม 10% และประสิทธิผลทางการเกษตรเพิ่ม 15%
เปิดตัวเลขความต้องการแต่ละประเภท
รายงานเน้นย้ำว่า การค้าระหว่างประเทศจะยังคงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับภาคเกษตรและอาหารโลก เนื่องจากประเทศต่าง ๆ มีข้อได้เปรียบและกำลังการผลิตแตกต่างกัน โดยคาดการณ์ว่า 22% ของแคลอรีทั้งหมดที่ประชากรโลกบริโภคจะมาจากการค้าข้ามพรมแดน ดังนั้นการค้าสินค้าเกษตรที่ยึดกฎเกณฑ์และความร่วมมือพหุภาคีจะมีความจำเป็น อีกทั้งจะส่งเสริมมาตรฐานความยั่งยืนและความยืดหยุ่นในการรับมือกับปัญหาด้านอุปทานที่อาจเกิดขึ้น
คาดว่าการบริโภคธัญพืชทั่วโลกจะเติบโตในระดับปานกลางที่ระดับ1.1% ต่อปี นำโดยการบริโภค ตามมาด้วยการผลิตอาหารสัตว์ และเชื้อเพลิงชีวภาพตามลำดับ การบริโภคข้าวทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย1% ต่อปี เทียบกับ1.1% ต่อปีในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โดยส่วนใหญ่มาจากประชากรในเอเชีย
การบริโภคเนื้อสัตว์ปีก เนื้อแกะ เนื้อวัว และเนื้อหมูทั่วโลกคาดว่าจะเติบโตประมาณ21%, 16%, 13% และ5% ตามลำดับภายในปี77 ตามการเติบโตอย่างรวดเร็วของจำนวนประชากรและรายได้ การผลิตเนื้อสัตว์มากกว่าครึ่งจะอยู่ในแถบเอเชีย ส่วนใหญ่มาจากการผลิตสัตว์ปีกในประเทศจีน ตามมาด้วยอินเดีย สหรัฐอเมริกา และเวียดนาม และคาดว่าละตินอเมริกาจะมีส่วนแบ่งการผลิตเพิ่มอย่างต่อเนื่อง มาจากความได้เปรียบในการแข่งขันด้านที่ดิน อาหารสัตว์ และการปรับปรุงพันธุกรรมสัตว์
มรสุมความเสี่ยงดันต้นทุนสูง
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาการผลิตเนื้อสัตว์ทั่วโลกกำลังเผชิญกับแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นในหลายด้าน ผู้ผลิตต้องเผชิญกับต้นทุนปัจจัยการผลิตที่สูง กฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมและชีวอนามัยสัตว์ที่เข้มงวดขึ้น รวมถึงการระบาดของโรคต่าง ๆ แม้ต้นทุนอาหารสัตว์ที่พุ่งสูงขึ้นในช่วงต้นทศวรรษเริ่มลดลง แต่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและแรงงานอื่น ๆ ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้ประกอบการจึงมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มผลผลิตมากขึ้นผ่านเทคนิคการเพาะพันธุ์ การจัดการฝูงสัตว์ และการเพิ่มน้ำหนักของสัตว์ มาตรการเหล่านี้มีความสำคัญต่อการจัดการต้นทุน และเสริมสร้างความยั่งยืนในการเผชิญกับแรงกดดันด้านการแข่งขันจากแหล่งโปรตีนทางเลือก
ภาคปศุสัตว์กำลังเผชิญกับการตรวจสอบที่เข้มงวดมากขึ้นเกี่ยวกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การปรับปรุงประสิทธิภาพเพื่อเพิ่มน้ำหนักหลังการชำแหละจะเพิ่มผลผลิต 27% ของเนื้อหมู 19% ในสัตว์ปีก และ 8% สำหรับเนื้อวัว
ปศุสัตว์ปล่อยก๊าซฯพุ่ง
รายงานคาดว่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของภาคปศุสัตว์จะเพิ่มขึ้น 6% จาก 3.4 กิกะตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า เป็น 3.5 กิกะตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าภายในปี 2577 โดยแอฟริกาจะมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดซึ่งจะสูงกว่า 18% ส่วนยุโรปจะลดลง 7%
การเลี้ยงวัวปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากกว่า 60% ของภาคปศุสัตว์ทั้งหมด ในภาพรวมการเพิ่มขึ้นของการปล่อยก๊าซ เรือนกระจกจากปศุสัตว์ทั่วโลกจะต่ำกว่าการเพิ่มขึ้นของการผลิตเนื้อสัตว์เฉลี่ย 13% อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนไปสู่การผลิตสัตว์ปีกและโครงการริเริ่มระดับชาติที่มุ่งส่งเสริมการผลิตปศุสัตว์คาร์บอนต่ำ และการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต
นิยมอาหารทะเลมากขึ้น
รายงานดังกล่าว คาดว่า การบริโภคอาหารทะเลจะเพิ่มขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศเอเชีย การประมงและการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำกำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้น อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม ความตึงเครียดทางการค้า และการให้ความสำคัญต่อความยั่งยืนที่มากขึ้นทั่วโลก โดยน่าจับตามองที่นโยบายของประเทศจีน ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาอย่างยั่งยืนมากขึ้น
การบริหารจัดการประมงที่ดีขึ้นอาจช่วยบรรเทาผลกระทบบางส่วนได้ นอกจากนี้นโยบายการค้าอันเนื่องมาจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ยังนำไปสู่ความไม่แน่นอนที่เพิ่มมากขึ้น.