หลงรักพระ จิตวิทยาสะท้อน "ความรู้สึกต้องห้าม" เข้าข่ายป่วยจิตหรือไม่?
หลงรักพระ โรคจิตหรือจิตขาด? จิตวิทยาสะท้อนความรู้สึกต้องห้าม ทำไมเกิดขึ้นได้? ในเชิงจิตเวชอาจเข้าข่ายภาวะใดบ้าง
ความรักนั้นเกิดขึ้นได้กับใครก็ได้ นี่คือคำกล่าวที่ฟังดูโรแมนติกและปลอบใจคนเจ็บปวด แต่ในบางกรณี ความรักกลับไม่ควรเกิดขึ้นเลย อย่างเช่น การหลงรักพระ หรือ พระตกหลุมรักสีกา
หญิงสาวที่เฝ้าไปวัดทุกวัน หิ้วข้าวใส่บาตร ส่งสายตาอ่อนโยน หวังให้ "หลวงพี่" สนใจ หรือคนที่เชื่อมั่นว่าตัวเองมีบุพเพสันนิวาสกับพระรูปหนึ่งแบบไม่อาจอธิบายได้
ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นจริง และเกิดขึ้นบ่อยกว่าที่เราคิด
คำถามคือ… นี่คือความรัก? หรือความผิดปกติทางจิต? เธอเป็นโรคจิต หรือแค่ "จิตขาด"?
"จิตขาด" คืออะไร?
"จิตขาด" ในที่นี้หมายถึง ภาวะที่อารมณ์หรือความรู้สึกหลุดจากกรอบความเป็นจริงหรือศีลธรรม ไม่ถึงกับเป็นโรคจิตเวชเต็มตัว แต่ก็สะท้อนถึง "ช่องโหว่ทางอารมณ์" หรือ "ความเปราะบางทางใจ" แต่หากรู้ตัวทุกขณะจิตแต่ยังทำ นั่นเท่ากับเป็นผู้จิตพร่องศีล พฤติกรรมพร้อมประพฤติบาป
ผู้หญิงที่หลงรักพระ อาจไม่ได้ป่วยทางจิต แต่
• กำลังอยู่ในภาวะโดดเดี่ยว ขาดความรัก
• มองพระเป็น "บุคคลปลอดภัย" ที่ให้ความเมตตา
• เปลี่ยนความศรัทธาเป็นความรัก โดยไม่รู้ตัว
ในเชิงจิตเวชอาจเข้าข่ายภาวะใดบ้าง?
1. Erotomania
โรคหลงผิด (Delusional Disorder – Erotomanic Type) หลงผิดคิดไปเองว่ามีคนหลงรักตน โดยเฉพาะบุคคลที่มีชื่อเสียง หรือมีบทบาทสำคัญในสังคม
• มักเชื่ออย่างแน่วแน่ ไม่ฟังคำห้าม
• อาจสะกดรอยพระรูปนั้น เขียนจดหมาย ไปวัดบ่อยผิดปกติ
• ถ้าถูกปฏิเสธ อาจเกิดอารมณ์แปรปรวน หรือความโกรธ
2. Obsessive Love Disorder (OLD)
โรครักแบบย้ำคิดย้ำทำ ไม่สามารถหยุดคิดถึงหรือควบคุมความรู้สึกได้
• คิดถึงพระอยู่ตลอดเวลา หวง หึงแม้พระจะไม่เป็นเจ้าของ
• อยากครอบครอง หรือล่อลวงให้สึกมาอยู่ด้วย
• อาจเกิดในคนที่มีความเจ็บปวดในอดีต เช่น การถูกทอดทิ้ง
3. ภาวะพึ่งพิงทางอารมณ์ (Emotional Dependency)
บุคคลที่ขาดการรักตัวเอง มักหา "ที่ยึดเหนี่ยว" ทางจิตใจจากผู้อื่น และพระ ซึ่งแสดงความเมตตา สงบ และไม่ตัดสิน จึงกลายเป็นเป้าหมาย
ทั้งนี้ การวินิจฉัยว่าบุคคลใดมีความผิดปกติทางจิตหรือไม่นั้น จำเป็นต้องอาศัยการประเมินและวินิจฉัยโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวชเท่านั้น ไม่สามารถสรุปหรือระบุได้อย่างชัดเจนจากเพียงการพูดคุยทั่วไป หรือการสังเกตพฤติกรรมภายนอกเพียงอย่างเดียว
แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า "เราควรปรึกษาจิตแพทย์หรือยัง?"
เช็กตัวเองง่าย ๆ ด้วยคำถามต่อไปนี้
• คุณคิดถึงพระรูปนั้นทั้งวันหรือไม่?
• คุณรู้สึกว่าพระมีใจให้ ทั้งที่ไม่มีหลักฐาน?
• คุณรู้สึกทุกข์ทรมานที่ไม่ได้ใกล้ชิด?
• คุณแสดงพฤติกรรมที่เกินขอบเขต เช่น สะกดรอย / ส่งข้อความหลายครั้ง?
ถ้าตอบว่า "ใช่" มากกว่า 2 ข้อ คุณอาจต้องปรึกษาจิตแพทย์ เพื่อเข้าใจตนเองให้มากขึ้น ไม่ใช่เพราะคุณบ้า แต่เพราะคุณอาจ "เจ็บ" และ "เปราะบาง" จนเผลอเดินผิดทาง
ก็จริงที่การหลงรักพระไม่มีความผิดทางกฎหมาย แต่หากยังดึงดัน ฝืนขอบเขต และไม่รู้เท่าทันจิตใจตนเอง มันอาจไม่ใช่แค่เรื่องของ "ความรัก" แต่อาจเป็น เรื่องของจิตใจที่ยังไม่สมดุล
รักได้แต่ "หยุดรักในสิ่งที่ไม่ควรรัก" นั่นแหละคือ การเติบโตทางจิตใจที่แท้จริง
แหล่งอ้างอิง
• DSM-5: Diagnostic and Statistical Manual of Mental Disorders
• WHO ICD-11: Classification of Mental Disorders
• กรมสุขภาพจิต
• พระวินัยปิฎก (หมวดอาบัติ)