หนี้ครัวเรือนลดลงครั้งแรกใน 13 ปี สัญญาณดีจริงหรือเตือนภัยเศรษฐกิจ?
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) เปิดเผยข้อมูลล่าสุดที่บ่งชี้ถึงจุดเปลี่ยนสำคัญของเศรษฐกิจครัวเรือนไทย โดยระบุว่า หนี้ครัวเรือนไทย ณ ไตรมาส 1 ปี 2568 ลดลงเหลือ 16.35 ล้านล้านบาท หดตัว -0.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน นับเป็นการหดตัวครั้งแรกนับตั้งแต่มีการบันทึกข้อมูลในปี 2555 ซึ่งแม้การลดลงของหนี้อาจดูเป็นสัญญาณเชิงบวกในบางมุม แต่ SCB EIC เตือนว่าการลดลงครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความเปราะบางทางเศรษฐกิจที่ยังไม่คลี่คลายหลังวิกฤต COVID-19
หนี้ครัวเรือนไทยเริ่มลดลง แต่ไม่ใช่เพราะเศรษฐกิจฟื้น
ข้อมูลจาก SCB EIC ระบุว่า การลดลงของหนี้ครัวเรือนในไตรมาสแรกปีนี้ เกิดจากการชะลอตัวต่อเนื่องของสินเชื่อเกือบทุกประเภท โดยเฉพาะสินเชื่อรถยนต์และจักรยานยนต์ที่หดตัวรุนแรงถึง -10%YOY ตามภาวะตลาดยานยนต์ที่ซบเซาอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่สถาบันการเงินเอกชนยังคงระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ โดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์และบริษัทบัตรเครดิต ส่งผลให้ยอดคงค้างสินเชื่อจากกลุ่มนี้ลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 5
อย่างไรก็ตาม สถาบันการเงินของรัฐและสหกรณ์ยังคงมีบทบาทในการพยุงสินเชื่อรวม ด้วยมาตรการกระตุ้นสินเชื่อจากภาครัฐ ทำให้ยอดหนี้ครัวเรือนโดยรวมไม่หดตัวรุนแรงกว่านี้
Deleveraging ครั้งนี้สะท้อนความเปราะบาง มากกว่าการฟื้นตัว
SCB EIC วิเคราะห์ว่า การที่หนี้ครัวเรือนลดลงในรอบวัฏจักรนี้ ไม่ได้เกิดจากเศรษฐกิจฟื้นตัวหรือเงินเฟ้อที่ช่วยลดภาระหนี้ในเชิงมูลค่าอย่างที่เคยเกิดในบางประเทศ แต่เกิดจาก “ยอดหนี้คงค้างที่แทบไม่เติบโต” ในขณะที่เศรษฐกิจยังเติบโต albeit slowly ส่งผลให้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ลดลงโดยอัตโนมัติ
เมื่อพิจารณาเชิงเปรียบเทียบกับประเทศเศรษฐกิจหลัก เช่น สหรัฐฯ และกลุ่มยุโรป ที่อัตราเงินเฟ้อในช่วงหลังสงครามรัสเซีย-ยูเครนเร่งตัวจนช่วยลดสัดส่วนหนี้ต่อ GDP ได้เร็ว ไทยกลับประสบภาวะเงินเฟ้อต่ำและการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ล่าช้า ส่งผลให้ไทยเสี่ยงต่อภาวะ "Debt Deflation" ที่อาจฉุดรั้งความสามารถในการลดภาระหนี้ของครัวเรือนในระยะยาว
สินเชื่อด้อยคุณภาพกดดันภาคการเงิน
อีกหนึ่งสัญญาณที่น่ากังวลคือคุณภาพของสินเชื่อที่ยังอ่อนแอ โดยในไตรมาส 1 ปี 2568 สัดส่วนสินเชื่อ Stage 3 (NPL) อยู่ที่ 3.41% เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะสินเชื่อที่อยู่อาศัยและบัตรเครดิตที่มี NPL สูงถึง 4.11% และ 4.17% ตามลำดับ หากรวมสินเชื่อ Stage 2 ซึ่งมีความเสี่ยงสูง สัดส่วนความเสี่ยงรวมอาจพุ่งเกิน 10% ในบางประเภทสินเชื่อ
ด้วยเหตุนี้ สถาบันการเงินจึงยังระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง เช่น กลุ่มลูกหนี้รายย่อยที่มีแผลเป็นทางเศรษฐกิจจาก COVID-19 และกลุ่มที่มีรายได้ไม่แน่นอน ซึ่งทำให้การขยายตัวของหนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับต่ำอย่างต่อเนื่อง
กระบวนการลดหนี้ต้องผสานระยะสั้นและยาว
SCB EIC ระบุว่า มาตรการต่าง ๆ เช่น โครงการ "คุณสู้ เราช่วย" เฟส 2 ที่มีการขยายเงื่อนไขและเพิ่มแรงจูงใจในการลดค่างวด อาจช่วยลดภาระหนี้ในระยะสั้นได้บ้าง แต่หากไม่มีการฟื้นตัวของรายได้อย่างชัดเจน ก็จะไม่สามารถปลดล็อกปัญหาหนี้เรื้อรังได้อย่างยั่งยืน
ทางออกที่แท้จริงจึงควรประกอบด้วยสองแนวทาง คือ (1) การออกแบบมาตรการแก้หนี้ที่ตอบโจทย์ความแตกต่างของลูกหนี้แต่ละกลุ่ม และ (2) กลไกทางเศรษฐกิจมหภาคที่สนับสนุนให้รายได้ครัวเรือนฟื้นตัวได้เพียงพอในการชำระหนี้
คาดหนี้ครัวเรือนสิ้นปี 68 อยู่ที่ 85.5-86.5% ต่อ GDP
SCB EIC คาดว่า ณ สิ้นปี 2568 สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ของไทยจะลดลงต่อเนื่องมาอยู่ที่ 85.5-86.5% จากระดับสูงสุดในช่วงโควิด ซึ่งแม้ดูเหมือนเป็นทิศทางบวก แต่ก็เกิดจากเศรษฐกิจที่โตช้าและยอดหนี้ที่ไม่ขยายตัว แทนที่จะมาจากรายได้ที่เพิ่มขึ้น
ความท้าทายจึงยังคงอยู่ที่ความสามารถในการบริโภคของภาคครัวเรือน ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจไทยในช่วงหลัง COVID-19 การที่หนี้ยังคงสูง รายได้ไม่ฟื้น และสินเชื่อเข้าถึงยาก จึงอาจกดดันเศรษฐกิจไทยต่อเนื่องในระยะข้างหน้า
แม้หนี้ครัวเรือนไทยจะเริ่มลดลงในเชิงสัดส่วนต่อ GDP แต่การลดลงครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากฐานเศรษฐกิจที่แข็งแรง หากแต่เป็นผลจากการชะลอตัวของสินเชื่อท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่เปราะบาง ความสามารถในการบริโภคที่ยังจำกัด และความเสี่ยงของหนี้เสียที่เพิ่มขึ้น ล้วนเป็นสัญญาณที่สะท้อนถึงความท้าทายที่ยังรอการแก้ไขเชิงระบบอย่างจริงจัง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- เศรษฐกิจไทยติดกับดักซ้ำซ้อน แนะใช้มาตรการกระตุกประคอง-ปฏิรูปเชิงโครงสร้าง
- บสย.ค้ำประกันครึ่งปีแรกทะลุ กว่า 1.94 หมื่นลบ. หนุน SME กว่า 2 หมื่นราย
- เคาะแผนเพิ่มรายได้"เกษตรกร" 5.3แสนบ.
- ส่องภารกิจ ผู้ว่าแบงก์ชาติ แบกภาระเศรษฐกิจ ดอกเบี้ย หนี้ และโลกดิจิทัล
- ทุนเสมอภาค หรือ ยาแก้เฉพาะหน้า? เมื่อภาระทางการศึกษาเกี่ยวพันกับหนี้ครัวเรือน