หุ้นไทยพุ่งแรง 170 จุด (14%) ชนะหุ้นโลก ในรอบเดือนครึ่ง หุ้นใหญ่ AOT-GULF-THAI-DELTA พาดัชนีขึ้นแรง
ตลาดหุ้นไทยในช่วงหนึ่งเดือนครึ่งที่ผ่านมา กลับมาโดดเด่นอย่างอีกครั้ง ปรับตัวขึ้นกว่า 170 จุด หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 14% นับตั้งแต่ต้นเดือน ก.ค.ถึงกลางเดือนส.ค.2568 ขณะที่ตลาดหุ้นโลกโดยเฉลี่ยขยับขึ้นเพียง 3% เท่านั้น การพุ่งขึ้นของตลาดหุ้นไทยงสะท้อนภาพการฟื้นตัวและแข็งแกร่งกว่าหลายประเทศ โดยมีแรงหนุนสำคัญจากหุ้นขนาดใหญ่ ซึ่งเป็น "4 หุ้นเทพ" อย่าง AOT, GULF, THAI และ DELTA ที่ช่วยพาหุ้นไทยทะยานขึ้นมาอย่างมีนัยสำคัญ พร้อมทั้งกระแสเงินทุนต่างชาติและความเชื่อมั่นที่ทยอยกลับมา
สรพล วีระเมธีกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าทีมกลยุทธ์การลงทุน บล.กสิกรไทย ให้สัมภาษณ์กับ "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า นับตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. จนถึง 18 ส.ค.2568 ที่ผ่านมา หรือคิดเป็นระยะเวลาประมาณ 1 เดือนครึ่ง ดัชนีหุ้นไทยได้มีการปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่นถึง 170 จุด โดยได้รับแรงหนุนสำคัญจากหุ้นขนาดใหญ่เพียงไม่กี่ตัว ซึ่งมีหุ้นเพียง 4 ตัวหลัก ได้แก่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) บริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA ที่มีส่วนช่วยผลักดันดัชนีให้ปรับตัวขึ้นมาถึง 85 จุด หรือคิดเป็น 50% ของการปรับขึ้นทั้งหมด และ บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)หรือ GULFมีส่วนหนุนดัชนีประมาณ 95 จุด
ทั้งนี้ ในบรรดาหุ้น 4 ตัว มีเพียง GULF เท่านั้นที่ยังคงมีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และมีศักยภาพในการเติบโตต่อไปได้ ในทางกลับกัน หุ้น DELTA, AOT และ THAI ได้รับการประเมินว่า มีอัพไซด์ที่เริ่มเต็มแล้ว อาจส่งผลให้ตลาดโดยรวมมีแนวโน้มเคลื่อนไหวแบบ Sideway Down หรือ ปรับฐานลง เนื่องจากหุ้นกลุ่มที่ Outperform ในช่วงที่ผ่านมา 3 ใน 4 ตัว (ไม่นับรวม GULF) มีอัพไซด์ที่จำกัด
สำหรับมุมมองของดัชนีหุ้นไทยในระยะถัดไป คาดว่าจะแกว่งตัวอยู่ในกรอบ 1210 - 1275 จุด ซึ่งการปรับขึ้นของดัชนีมาประมาณ 200 จุดก่อนหน้านี้ อาจเปลี่ยนเป็นลักษณะ Sideway โดยเป้าหมายที่ประเมินไว้คือ 1275 จุด
อย่างไรก็ตาม มีปัจจัยเดียวที่จะทำให้เป้าหมายดังกล่าวทะลุ 1,275 จุดขึ้นไปได้ นั่นคือ การไหลเข้ามาของ Fund Flow อย่างมหาศาล ซึ่งหมายถึงการที่เงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลงอย่างรุนแรง และสัญญาณอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ในปีหน้าส่งสัญญาณปรับลดลงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ หากเป็นกรณีนี้ ดอลลาร์จะอ่อนค่าลงต่อเนื่อง ทำให้เงินทุนไหลเข้าสู่ตลาดเอเชียเหนือและ Emerging Market ซึ่งจะผลักดันให้หุ้นไทยมีโอกาสขึ้นไปถึงระดับ 1,330 จุด ได้ ทั้งนี้ สถานการณ์กล่าวเคยเกิดขึ้นมาแล้วในช่วงปลายปี 2565 ถึงต้นปี 2566 ที่ Fund Flow ไหลเข้าตลาดหุ้นไทยถึง 70,000 ล้านบาท แม้ว่าสถานการณ์การเมืองจะยังไม่ดีขึ้น แต่เป็นผลมาจากเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าและสัญญาณการขึ้นดอกเบี้ยที่ลดลง
แต่ทว่า ในกรณีที่ไม่มี Fund Flow ไหลเข้ามา ตลาดมีแนวโน้มรอรับที่บริเวณ 1210 จุด อย่างไรก็ตาม ดัชนีหุ้นไทยไม่น่าจะปรับฐานลงแรงมากนัก และอาจยืนเหนือ 1200 จุดได้ เนื่องจากปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญคือ การอัปเกรดประมาณการกำไรต่อหุ้น หรือ EPS ของตลาด รวมถึงปัจจัยบวกจากกำไรพิเศษ ส่งผลกำไรสุทธิของตลาดในไตรมาส 2/68 ที่ผ่านมา ออกมาสูงถึงประมาณ 300,000 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้มากที่ประมาณ 230,000 - 240,000 ล้านบาท
"ในปีนี้ ตลาดคาดว่าจะมีกำไรพิเศษรวมประมาณ 100,000 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้ EPS อยู่ที่ประมาณ 88 บาท และส่งผลให้ดาวน์ไซด์ของดัชนีหุ้นไทยอยู่บริเวณ 1200 จุด มีความจำกัด ถือเป็นแนวรับสำคัญของตลาด"
สำหรับสิ่งที่ต้องติดตามในระยะสั้นมี 3 เรื่องหลัก 1.การประชุม Jackson Hole ในคืนนี้ เพื่อติดตามโทนของสัญญาณอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ 2.การปรับพอร์ตของ MSCI ในวันที่ 26 ส.ค.2568 และ 3.คดีความของคุณนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 29 ส.ค.2568 ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะเป็นตัวกำหนดทิศทางของตลาดหุ้นไทยในระยะสั้นอย่างมีนัยสำคัญ
ภราดร เตียรณปราโมทย์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายสายงานวิจัย บล.เอเชีย พลัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยส่งสัญญาณฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในช่วงครึ่งปีหลัง โดยดัชนีหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หลังจากเผชิญความผันผวนและแรงกดดันในช่วงครึ่งปีแรก โดยตลาดมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งได้รับแรงหนุนจากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งและบรรยากาศการลงทุนที่ดีขึ้น
"สถานการณ์กลับมาดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในช่วงครึ่งปีหลัง โดยนับตั้งแต่ 1 ก.ค.- 20 ส.ค.2568 ดัชนีหุ้นไทยขยับขึ้นมา 157 จุด มาอยู่ที่ 1,246 จุด ซึ่งเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 14.4% การเติบโตนี้ถือว่าโดดเด่นอย่างมากเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นโลกที่ขยับขึ้นเพียง 3% ตามดัชนี MSCI"
สำหรับ 4 หุ้นยักษ์ใหญ่ที่เป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ เป็นแรงผลักดันหลักที่ทำให้ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวขึ้นมาจาก 4 หุ้นใหญ่คิดเป็นสัดส่วนถึง 58.6% หรือ 92 จุด ของการขยับขึ้นทั้งหมด ได้แก่ DELTA ปรับขึ้น 32% หนุนหุ้นไทย 50.1 จุด THAI ปรับขึ้น 14.4% หนุนหุ้นไทย 12.6 จุด GULF ปรับขึ้น 6.5% หนุนหุ้นไทย 10.2 จุด และ AOT ปรับขึ้น 5.9% หนุนหุ้นไทย 9.2 จุด นอกจากนี้ Fund Flow ที่เคยไหลออกในช่วงครึ่งปีแรกก็เริ่มมีสัญญาณกลับเข้ามาซื้อสุทธิประมาณ 3.3 พันล้านบาทในช่วงครึ่งปีหลัง
อย่างไรก็ตาม มองว่าตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มที่จะปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องแบบ sideway up ด้วยหลายปัจจัยสนับสนุนที่แตกต่างจากครึ่งปีแรก ไม่ว่าจะเป็นผลประกอบการในครึ่งปีแรกทำได้ดีมากประมาณ 600,000 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยปกติที่ประมาณ 500,000 ล้านบาท โดยเฉพาะไตรมาส 2/68 ที่ทำกำไรได้ถึง 300,000 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นกำไรที่สูงเป็นอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์ กำไรที่เพิ่มขึ้นนี้ส่งผลให้ตลาดหุ้นมีราคาถูกลงตามอัตราส่วนทางการเงิน รวมถึงประเด็นการเมืองที่เคยไม่แน่นอนและสงครามการค้าได้ผ่อนคลายลงมาก และงบประมาณแผ่นดินที่ผ่านการอนุมัติแล้ว ทำให้เชื่อว่านโยบายการคลังจะสามารถดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง ส่งดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนใน ส.ค. 2568 มีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างโดดเด่น แสดงถึงความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นของนักลงทุนทุกกลุ่ม
กรรณ์ หทัยศรัทธา หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุน และ นักเศรษฐศาสตร์ สายงานวิจัย บล. ซีจีเอส-อินเตอร์เนชันแนล (ประเทศไทย) กล่าวว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมามีการปรับตัวขึ้นเป็นบวกอย่างมีนัยสำคัญ โดยดัชนีหุ้นไทยเพิ่มขึ้นถึง 22.40 จุด โดยหุ้นกลุ่มหลักที่ช่วยหนุนดัชนี คือ DELTA ปรับขึ้น 8.53 จุด GULF ปรับขึ้น 2.4 จุด SCC ปรับขึ้น 3.8 จุด หุ้นกลุ่มนี้มีความน่าสนใจเป็นพิเศษในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมาเนื่องจากราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นแรงจากการลดกำลังการผลิต ขณะที่ AOT ยังคงติดลบเมื่อเทียบกับดัชนี SET อยู่ที่ -1.1 จุดในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา แม้จะมีการฟื้นตัวในช่วงหลัง
สำหรับการเคลื่อนไหวของดัชนีในระยะสั้นและสิ้นปี 2568 มองกรอบไว้ 1,220 จุด คาดว่าจะมีแรงซื้อกลับเข้ามา แต่หากดัชนีปรับตัวขึ้นไปใกล้ 1,280-1,285 จุด หรือใกล้ 1,300 จุด จะเริ่มเห็นแรงขายทำกำไร
โดยกลยุทธ์การลงทุน ณ ปัจจุบันหุ้นอยู่ที่ประมาณ 1,246-1,250 จุด ซึ่งเป็นจุดกึ่งกลางที่ยังไม่แนะนำให้ทำอะไร แต่ทว่าแนะนำให้ซื้อเมื่อดัชนีลงมาที่ 1,220 จุด และ ขายออกเมื่อดัชนีขึ้นไปที่ 1,200 จุด ปลายๆ
ทั้งนี้ ปัจจัยที่ต้องจับตาเป็นพิเศษทั้งในและต่างประเทศที่อาจส่งผลต่อตลาดหุ้น เหตุการณ์สำคัญในคืนนี้ การประชุม Jackson Hole ซึ่งจะเป็นการส่งสัญญาณจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ย ปัจจุบันตลาดเกือบ 100% คาดการณ์ว่า Fed จะลดดอกเบี้ย หาก Fed ส่งสัญญาณไม่ลดดอกเบี้ย หรือระบุว่าภาวะเงินเฟ้อยังคงรั้น ตลาดอาจมีการปรับฐานแนวรับแรกที่ควรจับตาคือ 1,220 จุด และแนวรับถัดไปคือ 1,200 จุด