เปิดข้อมูลวิกฤตในกาซา ที่ถูกมองว่ากำลังเกิด ‘การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์’
“โลกอาจกำลังหมดคำพูดที่จะบรรยายสถานการณ์ในกาซา แต่เราจะไม่มีวันหนีจากความจริง”
คำกล่าวข้างต้นของอันโตนิโอ กูเตอร์เรส (António Guterres) เลขาธิการสหประชาชาติ คงช่วยให้ใครเห็นภาพสถานการณ์ในฉนวนกาซาได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ว่าโลกแห่งความจริงที่คนจำนวนนับไม่ถ้วนต้องเผชิญอยู่ในปัจจุบัน–ณ ตอนที่ทุกคนกำลังอ่านข้อความนี้ กำลังสร้างความสูญเสียอันร้ายแรงที่สุด และในหลายครั้งก็ร้ายแรงเสียจนไม่สามารถหาคำศัพท์ที่มีอยู่ในภาษาใดๆ ในโลกนี้มาอธิบายได้
วันที่ 7 ตุลาคม 2023 กลุ่มฮามาส–กองกำลังติดอาวุธในฉนวนกาซา กว่า 1,000 คน บุกโจมตีชายแดนทางตอนใต้ของอิสราเอล พร้อมก่อเหตุสังหารหมู่ชาย หญิง และเด็กไปกว่า 1,200 คน และลักพาตัวพลเรือนอีกราว 250 คนเพื่อนำตัวกลับกาซา
หลังจากเหตุการณ์วันนั้น นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เบนจามิน เนทันยาฮู (Benjamin Netanyahu) ออกมาประกาศทันทีว่า “อิสราเอลเข้าสู่สงครามแล้ว และกลุ่มฮามาสต้องชดใช้” จากนั้นกองกำลังป้องกันอิสราเอล (Israel Defence Forces หรือ IDF) ก็เริ่มปฏิบัติการทางทหารทันที เพื่อเดินหน้าแก้แค้นฮามาสและปล่อยตัวประกัน
ผ่านมาแล้วเกือบ 2 ปี ชีวิตของคนในกาซายังคงอยู่ท่ามกลางความรุนแรง ทั้งเกิดความเสียหายและความสูญเสียอันประเมินค่าไม่ได้ จนที่ผ่านมาหลายคนก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า สถานการณ์นั้น ‘เข้าขั้นวิกฤตฆ่าล้างเผ่าพันธุ์’ ไม่ว่าจะชีวิต ทรัพย์สิน จนถึงอนาคตของคนจำนวนมาก ก็ล้วนถูกทำลายไปอย่างน่าหดหู่
วันนี้ The MATTER รวบรวมข้อมูลวิกฤตด้านต่างๆ ในกาซา เพื่อให้ผู้อ่านเห็นภาพไปพร้อมๆ กันว่า สถานการณ์ความขัดแย้งครั้งนี้เลวร้ายเพียงใด ไม่ใช่แค่ต่ออาคารบ้านเรือน ทรัพย์สิน หรือเศรษฐกิจ แต่ยังกระทบต่อครอบครัว เพื่อนฝูง ชีวิต และเลือดเนื้อของคนนับไม่ถ้วน
ผู้เสียชีวิตในกาซาอย่างน้อย 83% เป็นพลเรือน
ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขปาเลสไตน์ ณ วันที่ 26 สิงหาคม 2025 ระบุว่า มีผู้เสียชีวิตชาวปาเลสไตน์ที่ยืนยันแล้วอย่างน้อย 62,819 ราย ในจำนวนนี้รวมเด็กอย่างน้อย 18,430 ราย ขณะที่มีผู้บาดเจ็บรวมอย่างน้อย 158,629 ราย ด้านอิสราเอล มีรายงานผู้เสียชีวิตชาวอิสราเอลอย่างน้อย 1,139 ราย อีกทั้งมีผู้บาดเจ็บรวมอย่างน้อย 8,730 ราย
เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา สำนักข่าว The Guardian, +972 Magazine และ Local Call รายงานการสืบสวนร่วมกันว่า ชาวปาเลสไตน์อย่างน้อย 83% ที่เสียชีวิตในการโจมตีของอิสราเอลในฉนวนกาซา “เป็นพลเรือน”
จากตรวจสอบของสำนักข่าวต่างๆ พบว่าในเดือนพฤษภาคม 2025 หรือราว 19 เดือนหลังจากสงครามในฉนวนกาซาเริ่มต้นขึ้น หน่วยข่าวกรองภายในของอิสราเอลได้ระบุรายชื่อนักรบ จากกลุ่มฮามาสและกลุ่มปาเลสไตน์อิสลามิกญิฮาด (Palestinian Islamic Jihad หรือ PIJ) ซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุธที่ใหญ่เป็นอันดับสองในกาซา จำนวน 8,900 คน ที่ได้รับการยืนยันหรือ ‘น่าจะ’ เสียชีวิตแล้ว
เมื่อเปรียบเทียบตัวเลขดังกล่าว กับจำนวนผู้เสียชีวิตโดยรวมที่ไม่ได้แยกระหว่างพลเรือนกับกลุ่มติดอาวุธ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขกาซาเผยแพร่ว่า ในขณะนั้นยอดผู้เสียชีวิตโดยราวอยู่ที่ 53,000 คน ทำให้อาจประเมินได้ว่า สัดส่วนของพลเรือนที่เสียชีวิตอาจสูงถึง 83%
ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อปีที่แล้วหน่วยงานของสหประชาชาติ ประเมินว่าตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2023 ถึงเมษายน 2024 เหยื่อจากสงครามเกือบ 70% เป็น ‘ผู้หญิงและเด็ก’ โดยกลุ่มอายุที่เสียชีวิตมากที่สุด คือเด็กอายุ 5-9 ปี พร้อมกับอธิบายตัวเลขที่สูงนี้ว่า ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากกรณีที่อิสราเอลใช้อาวุธที่มีผลกระทบเป็นวงกว้าง ในพื้นที่ที่มีประชากรหนาแน่น
นามสกุลชาวปาเลสไตน์อย่างน้อย 20 นามสกุล ถูกลบออกจากทะเบียนราษฎร
เพียง 7 วันหลังสงครามเริ่มต้นขึ้น ฉนวนกาซาถูกสั่นคลอน จากการโจมตีทางอากาศอย่างไม่หยุดยั้งของอิสราเอล โดยกองทัพอิสราเอลระบุว่า ได้ทิ้งระเบิดลงในฉนวนกาซาไปแล้วกว่า 6,000 ลูก หรือเฉลี่ยวันละเกือบ 1,000 ลูก
ด้านกระทรวงสาธารณสุขปาเลสไตน์ระบุว่า ในช่วง 7 วันนั้น มีผู้ได้รับบาดเจ็บถึง 6,388 คน ในขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตในฉนวนกาซาเพิ่มขึ้นเป็นอย่างน้อย 1,799 คน ทั้งนี้ 60% เป็นผู้หญิงและเด็ก
นอกจากนี้ ยังทำให้สมาชิกทั้งหมดที่มีชีวิตอยู่ของครอบครัว 20 ครอบครัวถูกสังหาร ซึ่งหลายครอบครัวก็เป็นที่รู้จักกันมาหลายชั่วอายุคน กลายเป็นเหตุให้ชื่อนามสกุลของพวกเขานั้นถูกลบออกจากทะเบียนราษฎร อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลล่าสุดในประเด็นดังกล่าว
จนถึงตอนนี้มี 303 คนเสียชีวิตจากความอดอยาก
วันที่ 22 สิงหาคม 2025 สหประชาชาติได้ประกาศภาวะทุพภิกขภัย (Famine) ในกาซาซิตี้ (Gaza City) และพื้นที่โดยรอบ พร้อมเตือนว่าประชาชนกว่า 500,000 คนกำลังเผชิญกับความหิวโหย ‘ขั้นหายนะ’ (Catastrophic)
นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่สงครามในฉนวนกาซาเริ่มต้นขึ้น ที่สหประชาชาติประกาศภาวะทุพภิกขภัยในพื้นที่ โดยได้อ้างอิงจากระบบจัดระดับความมั่นคงทางอาหารแบบบูรณาการ (Integrated Food Security Phase Classification หรือ IPC) หรือกลุ่มผู้สังเกตการณ์ที่ได้รับมอบหมายจากสหประชาชาติ ให้แจ้งเตือนถึงวิกฤตการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น
IPC ให้คำจำกัดความว่า ‘ภาวะทุพภิกขภัย’ (Famine) จะเกิดขึ้นเมื่อเกิดวิกฤตอย่างน้อย 2 ใน 3 ข้อพร้อมกัน ดังต่อไปนี้
ภาวะขาดแคลนอาหารรุนแรง (Extreme food deprivation): เมื่อครัวเรือน 20% ขาดแคลนอาหารอย่างรุนแรง ภาวะทุพโภชนาการเฉียบพลัน (Acute malnutrition): เมื่อเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ 30% มีภาวะทุพโภชนาการรุนแรง การเสียชีวิตจากความอดอยาก (Starvation-related deaths): เมื่อในแต่ละวัน มีคนอย่างน้อย 2 คนในทุกๆ 10,000 คน เสียชีวิตจากความอดอยาก หรือภาวะทุพโภชนาการและโรคภัย
ณ วันที่ 15 สิงหาคม 2025 IPC ยืนยันอย่างเป็นทางการว่า ภาวะทุพภิกขภัย หรือภาวะขาดแคลนอาหารใน ‘ขั้นหายนะ’ (Catastrophic) ซึ่งเข้าข่ายมาตรวัด IPC ระยะที่ 5 เกิดขึ้นแล้วในเขตปกครองกาซา
ในขณะที่คนอีก 1.07 ล้านคน หรือราว 54% ของประชากรกำลังเผชิญภาวะขาดแคลนอาหารในระดับฉุกเฉิน (Emergency) หรือระยะที่ 4 ของมาตรวัด IPC และอีก 396,000 คน กำลังขาดแคลนอาหารในภาวะวิกฤต (Crisis) หรือระยะที่ 3 ของมาตรวัด IPC
หากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ต่อไป IPC ประเมินว่า ภายในสิ้นเดือนกันยายน 2025 พลเรือนกว่า 640,000 คนทั่วฉนวนกาซา จะต้องเผชิญกับภาวะขาดแคลนอาหารใน ‘ขั้นหายนะ’ หรือในระยะที่ 5 ของมาตรวัด IPC
“ประชาชนกว่าครึ่งล้านคนในฉนวนกาซา กำลังเผชิญกับภาวะวิกฤต อันเนื่องมาจากความอดอยาก ความยากจนข้นแค้น และความตาย” รายงานของ IPC ระบุ
**IPC ยังกล่าวว่า นี่คือครั้งแรกในภูมิภาคตะวันออกกลางที่มีการยืนยันภาวะอดอยากอย่างเป็นทางการ
อาคารเรียนในกาซา 88% ได้รับความเสียหายหรือถูกทำลาย**
**ไม่นานหลังจากสงครามเริ่มต้นขึ้นในฉนวนกาซา พื้นที่โดยรอบก็กลายเป็นซากปรักหักพังภายในพริบตา โดยข้อมูล ณ วันที่ 15 มกราคม 2025 จากสำนักงานเพื่อการประสานงานด้านมนุษยธรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Office for the Coordination of Humanitarian Affairs หรือ OCHA) ระบุว่า การโจมตีของอิสราเอลได้สร้างความเสียหาย ต่อบ้านเกือบทั้งหมดในฉนวนกาซา
ในขณะที่โครงสร้างพื้นฐานพื้นอื่นๆ รวมถึงอาคารพาณิชย์ 80% สถานพยาบาล 50% โครงข่ายถนน 68% พื้นที่เพาะปลูก 68% ก็ได้รับความเสียหายหรือถูกทำลาย
ด้านองค์การแพทย์ไร้พรมแดน (Doctors Without Borders/Médecins Sans Frontières หรือ MSF) ระบุว่า โรงพยาบาล 36 แห่งในฉนวนกาซาได้รับความเสียหายหรือถูกทำลาย ไปกว่า 94% ในขณะที่ที่อยู่อาศัย 92% ได้รับความเสียหายหรือถูกทำลาย
ในด้านการศึกษา อาคารเรียนในกาซาถึง 88% ได้รับความเสียหาย โดยสำนักงานบรรเทาทุกข์และจัดหางานของสหประชาชาติสำหรับผู้ลี้ภัยปาเลสไตน์ในตะวันออกใกล้ (The United Nations Relief and Works Agency for Palestine Refugees in the Near East หรือ UNRWA) รายงานว่ามีเด็กประมาณ 660,000 คนต้องออกจากโรงเรียนเนื่องจากสงคราม พร้อมย้ำถึงความสำคัญของการศึกษาในภาวะฉุกเฉิน และการสนับสนุนด้านจิตสังคม
นักข่าวและบุคลากรด้านสื่อกว่า 270 ราย เสียชีวิตในฉนวนกาซา**
**สถานการณ์ครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อ 25 สิงหาคม 2025 หลังกองทัพอิสราเอลโจมตีโรงพยาบาลนัสเซอร์ (Nasser Hospital) ในเมืองข่านยูนิส (Khan Younis) ทางตอนใต้ของฉนวนกาซา โดยเหตุการณ์นี้ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 21 ราย ในจำนวนนี้รวมถึงนักข่าว 5 ราย ซึ่งหนึ่งในนั้นทำงานให้กับสำนักข่าวอัลจาซีรา (Al Jazeera)
หากนับยอดผู้เสียชีวิตในแวดวงสื่อ Al Jazeer รายงานว่า นับตั้งแต่สงครามเริ่มต้นขึ้นในเดือนตุลาคม 2023 อิสราเอลได้สังหารนักข่าวและบุคลากรด้านสื่อในฉนวนกาซาไปแล้วกว่า 270 ราย พร้อมชี้ว่า สงครามที่ดำเนินมาตลอดระยะเวลาเกือบ 2 ปี ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบด้านการงานของกลุ่มนักข่าวภาคสนามเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อชีวิตส่วนตัวของพวกเขาอีกด้วย จนกลายเป็นความกังวลว่า สื่อในฉนวนกาซาจะกำลังลดลงเรื่อยๆ
คนอย่างน้อย 1.9 ล้านคน หรือราว 90% ของประชากรทั่วฉนวนกาซา ต้องพลัดถิ่นในช่วงสงคราม**
**สหประชาชาติประเมินว่า ผู้คนในฉนวนกาซาประมาณ 1.9 ล้านคน หรือประมาณ 90% ของประชากรทั่วฉนวนกาซาต้องพลัดถิ่นในช่วงสงคราม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็กที่ต้องย้ายถิ่นเพื่อความปลอดภัย ในขณะที่หลายคนต้องอพยพซ้ำแล้วซ้ำเล่า รวมถึงอาศัยอยู่ในเต็นท์ชั่วคราว เนื่องจากอาคารที่พักอาศัยส่วนใหญ่ได้รับความเสียหาย
ไม่ใช่แค่ความลำบากด้านที่พักอาศัย แต่พวกเขายังต้องเผชิญวิกฤตด้านอาหาร โดยโครงการอาหารโลก (World Food Program หรือ WFP) รายงานว่า “ราคาสินค้าพุ่งสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเพิ่มขึ้นระหว่าง 150 ถึง 700% จากระดับก่อนสงคราม” ส่วนราคาแก๊สหุงต้มก็เพิ่มขึ้นถึง 4,000% เมื่อเทียบกับระดับก่อนสงคราม โดยผู้คนจำนวนมาก ต้องหันไปใช้วิธีการปรุงอาหารแบบอื่น เช่น การใช้วัสดุเหลือใช้และไม้เพื่อก่อไฟ
ที่ผ่านมานักวิชาการ นักกฎหมาย และนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนหลายคนได้ยืนยันว่า อิสราเอลกำลังก่อเหตุ ‘ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์’ (genocide) ในฉนวนกาซา**
**หลังจากพิจารณาจากกรณีสังหารหมู่พลเรือนและภาวะทุพภิกขภัยที่เกิดขึ้น นักวิชาการหลายคนเห็นว่า การกระทำของอิสราเอลในฉนวนกาซา ตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม 2023 เป็นต้นมานั้น ถือเป็นการละเมิดอนุสัญญาว่าด้วยการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (The Genocide Convention 1948)
เมื่อเดือนพฤษภาคม 2024 เครือข่ายมหาวิทยาลัยเพื่อสิทธิมนุษยชน (University Network for Human Rights หรือ UNHR) ซึ่งเป็นกลุ่มศูนย์สิทธิมนุษยชนในมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั่วโลก ได้เผยแพร่รายงานที่สรุปว่า “อิสราเอลได้กระทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์”
“เราสรุปได้ว่า การกระทำของอิสราเอลในและเกี่ยวกับฉนวนกาซาตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม 2023 ถือเป็นการละเมิดอนุสัญญาว่าด้วยการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” UNHR ระบุ
**รายงานฉบับนี้กล่าวต่อว่า กองกำลังอิสราเอลได้สังหารชาวปาเลสไตน์ โดยไม่คำนึงถึงสถานะที่ได้รับการคุ้มครองภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งสำหรับนักข่าวในพื้นที่ การโจมตีครั้งนี้ถือเป็นความขัดแย้งที่นองเลือดที่สุด “เท่าที่เคยมีการบันทึกมา” ไม่เพียงเท่านั้น จำนวนเจ้าหน้าที่สหประชาชาติ ที่เสียชีวิตในสงครามครั้งนี้ ก็พุ่งสูงขึ้นในระดับที่ “ไม่เคยพบเห็นมาก่อนในประวัติศาสตร์”
นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญของสหประชาชาติ ฮิวแมนไรท์วอทช์ (Human Rights Watch หรือ HRW) และแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล (Amnesty International) ยังสรุปตรงกันว่า การกระทำของกองกำลังอิสราเอลเข้าข่ายการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
ฟรานเชสกา อัลบาเนเซ (Francesca Albanese) ผู้รายงานพิเศษแห่งสหประชาชาติ (UN special rapporteur) ว่าด้วยสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในดินแดนปาเลสไตน์ที่ถูกยึดครอง ย้ำว่าอิสราเอลตั้งใจที่จะทำลายชาวปาเลสไตน์อย่างเป็นระบบ
อัลบาเนเซกล่าวว่า “จำนวนผู้เสียชีวิตอันน่าสยดสยอง ความเสียหายที่ไม่อาจแก้ไขได้ที่เกิดขึ้นกับผู้ที่รอดชีวิต การทำลายล้างทุกแง่มุม ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตในฉนวนกาซาอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่โรงพยาบาลไปจนถึงโรงเรียน จากบ้านไปจนถึงที่ดินทำกิน และความเสียหายโดยเฉพาะต่อเด็กหลายแสนคน และต่อมารดาที่ตั้งครรภ์ และแม่ลูกอ่อน–สิ่งนี้สามารถตีความเป็นหลักฐานเบื้องต้น ถึงความตั้งใจที่จะทำลายชาวปาเลสไตน์อย่างเป็นระบบและรวมกลุ่ม”
“ความบอบช้ำทางจิตใจร่วมกันอย่างมหาศาล ซึ่งไม่อาจประเมินค่าได้ จะยังคงส่งผลต่อผู้คนต่อไปอีกหลายชั่วอายุคน” เธอระบุ
Editor: Thanyawat Ippoodom
Graphic Designer: Sutanya Phattanasitubon