เสียงจากอาจารย์มหา’ลัยชายแดน: เมื่อเหตุความขัดแย้งไทย-กัมพูชา กำลังส่งผลให้นักศึกษากัมพูชาต้องขาดเรียน-เดินทางกลับบ้านเกิด
จากกรณีนักเรียนกัมพูชาวัย 13 ปี ถูกตำรวจจับกุมในโรงเรียนและเตรียมส่งกลับประเทศกัมพูชา หลังถูกแจ้งความว่าเป็นบุคคลต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยไม่ได้รับอนุญาต นำสู่การพูดคุยเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามที่มีต่อชีวิตและ ‘การศึกษา’ ของผู้อาศัยอยู่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา
เช่นเดียวกับมหาวิทยาลัยในจังหวัดที่มีพื้นที่ติดกับชายแดนประเทศกัมพูชา ซึ่งมีนักศึกษาจำนวนหนึ่งเดินทางจากกัมพูชามาหาความรู้และพัฒนาศักยภาพของตนเองในสถาบันการศึกษาของประเทศเพื่อนบ้าน
แต่เมื่อเกิดเหตุความขัดแย้งระหว่าง 2 ประเทศ นักศึกษากลุ่มนี้จึงจำเป็นต้องเดินทางกลับประเทศบ้านเกิดของตนเอง เนื่องจากครอบครัวกังวลเรื่องความปลอดภัย ทำให้พวกเขาจำเป็นต้อง ‘พักการศึกษา’ จนกว่าเหตุการณ์จะสงบลง
อาจารย์ผู้สอนประจำมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ที่มีพื้นที่ติดกับชายแดนประเทศกัมพูชา เล่าว่า ความขัดแย้งระหว่าง 2 ประเทศช่วงกลางเดือนที่แล้ว ไม่เพียงแค่ทำให้มหาวิทยาลัยต้องหยุดเรียน, ปรับการสอนเป็นรูปแบบออนไลน์ แต่มีการปรับเวลาสอบกลางภาคให้สอดคล้องกับสถานการณ์
ทว่า นักศึกษาชาวกัมพูชาบางส่วนได้ขอลากลับบ้านเกิดของตนเอง เนื่องจากครอบครัวกังวลเรื่องความปลอดภัย อาจารย์จึงประสานงานกับฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการหยุดพักการศึกษาในปีการศึกษานี้และรักษาสภาพนักศึกษาไว้
“นักศึกษาชาวกัมพูชากลับบ้านไปก่อนสอบกลางภาค เราช่วยประสานให้พักการศึกษา เพราะกลัวเขากลับมาไม่ทัน และไม่ได้เข้าเรียน แล้วเกรงว่าจะมีปัญหาตอนเรียนและสอบในภายหลัง ถ้าเหตุการณ์สงบเขาจะได้กลับมาเรียนในปีการศึกษาหน้า” อาจารย์ กล่าว
ทั้งนี้ อาจารย์มองว่านักศึกษาต่างชาติที่มาเรียนในมหาวิทยาลัยติดกับชายแดนไม่มีปัญหาเรื่องเอกสารการเดินทางระหว่างประเทศ เนื่องจากนักศึกษาจะมีเอกสารวีซ่านักเรียน (Student Visa) ซึ่งเป็นการเข้าเมืองอย่างถูกกฎหมาย หากมีการต่ออายุวีซ่าหรือพาสปอร์ตตามเวลาที่กำหนดก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร
ทำไมชาวกัมพูชาถึงเข้ามาเรียนในประเทศไทย
“ผมคิดว่านี่เป็นหนึ่งในมุมมองของชาวกัมพูชาที่มีต่อประเทศไทย คือ ความคุ้นเคยในวัฒนธรรมระหว่างสองประเทศ สินค้าผลิตภัณฑ์ หรือเทคโนโลยีจากประเทศไทย…” อาจารย์ กล่าว
ขณะเดียวกัน ประเทศไทยก็มีทุนการศึกษาจากหลายหน่วยงานที่ได้มอบให้นักศึกษากัมพูชามาเรียนในประเทศไทย เช่น เกษตรกรรม ธุรกิจ และเทคโนโลยี
โดยอาจารย์มองว่า การให้การศึกษากับเด็กและเยาวชนทั้งกับคนไทยเองหรือประเทศเพื่อนบ้าน ล้วนส่งผลดีต่อประเทศไทยทั้งนั้น เนื่องจากหากมีการพัฒนาศักยภาพของเด็กให้พวกเขาสามารถเติบโตมาใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ มีช่องทางการทำมาหากิน มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ก็จะช่วยลดปัญหาทางสังคม รวมถึงความขัดแย้งในพื้นที่ได้ดี
เหล่านี้เป็นหนึ่งในหลักการทูตทางวัฒนธรรม (Soft Diplomacy) ซึ่งเป็นการใช้เครื่องมือทางวัฒนธรรม เช่น การศึกษา ศิลปะ และภาษา เพื่อส่งเสริมความเข้าใจระหว่างประเทศ สร้างความสัมพันธ์อันดี และแก้ไขความขัดแย้งได้
ยินดีสอนและให้ความรู้กับผู้เรียนทุกคนโดยไม่แบ่งแยกเชื้อชาติ
แม้ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชาจะมีทั้งช่วงที่ดูเหมือนเงียบสงบและช่วงที่ปะทุขึ้นตามสถานการณ์ แต่อาจารย์เล่าว่า ผู้อาศัยอยู่ในพื้นที่ชายแดนต่างคุ้นชินกับการอยู่ร่วมกันด้วยความหลากหลายทางเชื้อชาติ
“ในฐานะอาจารย์ ผมยินดีสอนนักศึกษาทุกคนโดยไม่แบ่งแยกเชื้อชาติ” อาจารย์ กล่าว
**การพูดคุยกับอาจารย์ช่วยสะท้อนวิถีชีวิตของผู้อาศัยอยู่บริเวณชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้านเป็นอย่างดี ว่าพวกเขาอาศัยอยู่ร่วมกันบนพื้นฐานความเข้าใจในความหลากหลายของเชื้อชาติและถิ่นกำเนิด
เหตุความขัดแย้งที่เกิดขึ้นนี้ นอกจากส่งผลให้มีผู้คนบาดเจ็บและความเสียหายทั้งในเชิงกายภาพและเศรษฐกิจแล้ว ยังมีประเด็นความเสียหายที่มองไม่เห็นและอาจส่งผลต่อสังคมในระยะยาว คือ ‘การศึกษา’ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คน
เมื่อการศึกษาต้องหยุดชะงักลงเพราะความขัดแย้งที่ไม่เป็นผลดีต่อฝ่ายใด นั่นหมายถึงโอกาสและอนาคตของคนจำนวนมากได้ถูกพรากไปอย่างน่าเสียดาย**