หลังคำตัดสิน ‘แพทองธาร’ ใครได้ ใครเสีย? คุยกับ ปริญญา เทวานฤมิตรกุล ถึงอนาคตของการเมืองไทย
แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จากพรรคเพื่อไทย เผชิญกับกระแสการเรียกร้องให้ ‘ลาออก’ หรือ ‘ยุบสภา’ นับตั้งแต่คลิปเจรจาระหว่างเธอ และ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ถูกปล่อยออกมา จนทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับ ‘ท่าที’ ของเธอที่มีต่อผู้นำคนสำคัญของกัมพูชา เช่น การเรียก ฮุน เซน ว่า uncle (อา), พูดว่า "อยากได้อะไรก็ให้ท่านบอกมาได้เลยค่ะ เดี๋ยวจะจัดการให้" หรือกล่าวถึงแม่ทัพภาคที่ 2 ว่าเป็นฝั่งตรงข้ามกับตน
หลังจากนั้นเธอออกมาแถลงขอโทษประชาชนต่อเหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้น อย่างไรก็ดี สมาชิกวุฒิสภา (สว.) 36 คน ยื่นคำร้องผ่านประธานวุฒิสภา ขอให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของ แพทองธารสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่ สรุปง่ายๆ ก็คือ นายกฯ แพทองธารมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรงหรือไม่
ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 7 ต่อ 2 ให้แพทองธารหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯ ตั้งแต่ 1 กรกฎาคม เป็นต้นมา และเมื่อ 21 สิงหาคม เธอต้องขึ้นเบิกความในฐานะพยานบุคคลที่ศาลเรียกมาไต่สวน ทั้งนี้ แพทองธาร ย้ำว่า การสนทนากับ ฮุน เซน ไม่มีข้อความใดที่แสดงให้เห็นว่าจะนําผลประโยชน์ของประเทศไทยไปแลกเปลี่ยนกับต่างชาติ
อย่างไรก็ตาม วันที่ 29 สิงหาคม ถือเป็นวันตัดสินอนาคตทางการเมืองของนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 รวมถึงอนาคตการเมืองไทยว่าจะเดินหน้าต่อไปทิศทางไหน ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินชี้ชะตา The MATTER จึงพูดคุยกับ ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์ประจำภาควิชากฎหมายมหาชน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้จับตาศาลรัฐธรรมนูญมาเสมอ ก่อนหน้านี้เขาเคยตั้งข้อสังเกตถึงศาลฯ มีที่อำนาจมากเกินไป จนนำไปสู่การยุบพรรคการเมืองหลายพรรค และการตัดสิทธิคนจากตำแหน่งทางการเมือง
เราจึงซักถาม ผศ.ดร.ปริญญา ถึงสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นในการเมืองไทย หากศาลฯ ให้คำตอบอย่างกระจ่างชัดแล้วว่าแพทองธารนั้น ‘รอด’ หรือ ‘ไม่รอด’ จากคดีคลิปเสียง
ศาลรัฐธรรมนูญมีขั้นตอนในการพิจารณาคดีนี้อย่างไรบ้าง
ผมขอพูดสั้นๆ ข้อหนึ่งก่อนนะครับว่าคุณแพทองธารเขาโดนข้อหาอะไร คือโดนเรื่องอะไรที่จะให้พ้นตำแหน่ง ก็มีมาตรา 160 (4) คือการขาดคุณสมบัติ เรื่องการมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ แล้วก็รัฐธรรมนูญมาตรา 160 (5) ข้อ ก็คือการมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
ทีนี้ในทางปฏิบัติกระบวนพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญก็คือว่า ศาลก็จะลงมติทีละข้อว่าหลังจากที่ได้ฟังคำร้องว่าคลิปเสียงมีพฤติกรรมที่ทำผิด 2 ข้อนี้ แล้วต้องพ้นตำแหน่ง ศาลก็ได้ให้คุณแพทองธารชี้แจงเป็นหนังสือแก้ข้อกล่าวหา แล้วก็ได้เรียกตัวมาตอบคำถาม ศาลก็ไต่สวน ก็อ่านในกระดาษที่ส่งไปอาจจะยังสงสัย จากนั้นก็ให้ส่งหนังสือเป็นคำชี้แจงปิดคดี และตอนนี้ศาลก็จะพิจารณาครับ
โดยแต่ละคนต้องทำเป็นหนังสือก่อนเข้าประชุม ง่ายๆ คือทุกคนจะต้องตัดสินใจละ ว่าตัดสินอย่างไร แล้วทำเป็นหนังสือมาเลย แล้ววันที่ 29 สิงหาคม ตอน 9.30 น. ก็มาประชุมแล้วก็มติกัน ถ้าเสียงข้างมาก 5 เสียงขึ้นไป ไปในทางใดก็จะมีผลแบบนั้น อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณแพทองธารจะพ้นตำแหน่ง ก็เพียงแค่เรื่องเดียว พ้นนะครับ ศาลเห็นว่าทำผิด ก็พ้นเลย ถ้าจะรอด ต้องรอดทั้ง 2 ข้อ เขาจะลงมติแยกกันก็ทีละข้อ คือรอดก็ต้องรอดทั้ง 2 ข้อ ถ้าไม่รอดข้อหนึ่งก็พ้นตำแหน่งนายกฯ เลย
แนวทางศาลก็ดูว่า 17 นาทีในคลิปที่คุณแพทองธาร เจรจากับ ฮุน เซน มันเป็นตรงไหน มีถ้อยคำใด ประโยคใดหรือไม่ ที่มันเข้าข่ายการขาดความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ หรือมีตรงที่ไหนไหม ที่เป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง
เรื่องฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรงมันก็มี ต้องไปดูว่ามาตรฐานจริยธรรมมีกี่ข้อ ซึ่งมีทั้งหมด 28 ข้อ ที่ศาลรัฐธรรมนูญกับองค์กรศาลได้จัดทำเอาไว้ แล้วข้อที่น่าจะเข้าที่สุดก็คือข้อ 6 คือผู้ดำรงตำแหน่งจะต้องทำนุบำรุงรักษาไว้ซึ่งเกียรติภูมิและผลประโยชน์ของประเทศชาติ เรื่องบูรณภาพแห่งดินแดนในเขตซึ่งประเทศไทยมีอำนาจอธิปไตย เรื่องความมั่นคงของประเทศ อะไรพวกนี้มันอยู่ในข้อ 6 ซึ่งอาจจะมีข้ออื่นอีก
ง่ายๆ คือศาลก็จะเป็นคนตัดสินใจแต่ละคน แต่ละคนก็จะมีเป็นคำตัดสิน เป็นหนังสือ แล้วก็มารวมกันว่าผลของการตัดสิน ถ้าเสียงข้างมากไปทางไหน ก็ไปทางนั้น อันนี้คือสิ่งที่จะเกิดขึ้น ทีนี้ถ้าหากว่าเสียงข้างมากบอกว่า “รอด” ก็ต้อง 5 เสียงขึ้นไปใน 9 เสียงทั้ง 2 ข้อ
ถ้านายกฯ แพทองธาร ‘รอด’ สถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นมีอะไรบ้าง
(Photo by Lillian SUWANRUMPHA / AFP)
ถ้ารอด คุณแพทองธารก็กลับมาปฏิบัติหน้าที่อย่างเดิม คุณภูมิธรรมที่รักษาการปฏิบัติหน้าที่แทนนายกฯ ก็เป็นอันว่าสิ้นสุด ณ วันที่ศาลยกคำร้อง คุณแพทองธารก็กลับมาเป็นนายกฯ เต็มตัวโดยอัตโนมัติ ถ้ามาในทางนี้ในส่วนของคุณทักษิณก็เหลือแค่เรื่อง 9 กันยายน คดีชั้น 14 ว่าจะเป็นยังไงต่อ แต่ว่าแน่นอนแหละว่าถ้าออกมาตามแนวทางนี้
มันก็จะเป็นแนวทางที่เรียกว่า ‘ไม่ตรงกับความคาดหวังของคนจำนวนมาก’ เพราะคนก็รู้สึกตั้งแต่เกิดเรื่องนี้ขึ้นมาเมื่อคลิปหลุดว่าถ้าไม่ลาออกก็ต้องยุบสภา อย่างหนึ่งอย่างใด ทั้งนี้ พอศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าไม่ผิดทั้ง 2 ข้อ ทั้งไม่ได้ผิดในข้อมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ แล้วก็ไม่ได้ฝ่าฝืนหรือกระทำการอย่างร้ายแรงในข้อใดเลย ถ้าเป็นแบบนี้ ก็อยู่ที่เหตุผล อยู่ที่การลงมติ แล้วเหตุผลของศาลในการอธิบาย แต่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตามมาผมคิดว่าในทางการเมืองคุณแพทองธารต่อให้รอดในคราวนี้ ก็ยังมีมรสุมต้องฝ่าไปต่อ อาจจะทั้งเรื่องของนิติสงครามในเรื่องต่อๆ ไป เช่น เรื่องที่มีคนไปร้องแล้วว่า “ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญมาตรา 144” มีคนไปร้อง ปปช.แล้ว อันนี้ก็จะเจอคดีต่อไป
หรือว่าเรื่องของการแสดงออกของประชาชนซึ่งไม่พอใจกับคุณแพทองธาร แล้วก็รอดูศาลว่าจะตัดสินอย่างไร เขาก็คงจะมีท่าทีอะไรต่อไป อันนี้คือเรียกว่าถ้ารอดเนี่ยก็เรียกว่าเบาไปเปลาะหนึ่ง ไปลุ้นวันที่ 9 กันยายนต่อ แล้วก็ไปลุ้นต่อว่าสถานการณ์ทางการเมืองมันจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป จะมีคดีความอีกไหม
แต่ที่แน่ๆ ต่อให้รอด สภานี้ก็ไม่ครบวาระหรอก ยังไงก็ไม่ช้านาน ก็คงต้องมีการยุบสภาแล้วเลือกตั้งใหม่ เพียงแต่ว่ารัฐบาลพรรคเพื่อไทยคงต้องการจะยืดเวลาไปให้นานที่สุด เพราะว่าตั้งแต่มีเรื่องคลิปหลุดออกมา คะแนนนิยมของพรรคก็ลดน้อยถอยลงไปมาก จนแม้กระทั่งอาจจะถ้าเลือกตั้งเร็วๆ นี้ อาจแพ้พรรคภูมิใจไทยด้วยซ้ำไป
พรรคเพื่อไทยเขาตั้งเป้าว่าต้องกลับมาเป็นที่หนึ่งใหม่ แต่ตอนนี้ กระทั่งที่สองก็ยังอาจจะมีปัญหาเลย เพราะว่าคะแนนนิยมตกต่ำ จนภูมิใจไทยอาจจะแทรกขึ้นมาแล้ว งั้นมีทางเดียวคือ พรรคเพื่อไทยและคุณทักษิณก็ต้องให้พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลต่อไปให้นานที่สุด เพื่อหวังจะทำคะแนนคืน สร้างผลงานคืนมา แล้วก็เป็นรัฐบาลรักษาการในช่วงการเลือกตั้ง
ในระหว่างนี้พรรคภูมิใจไทย ซึ่งเป็นคู่แข่งสำคัญ เพราะเป็นระบบบ้านใหญ่เหมือนกัน ก็จะมีเรื่องคดีความ เรื่องเขากระโดง ว่าพรรคเพื่อไทยจะไปต่อถึงขนาดไหนยังไง เพราะว่าภูมิใจไทยก็กลายเป็นคู่แข่งยิ่งกว่าพรรคประชาชนไปแล้ว ดังนั้นต่อให้รอดก็ยังมีมรสุม และถึงแม้ว่ารอด สภาชุดนี้ก็ไม่มีทางยื้อถึงครบวาระได้ ผมเชื่อว่ายังไงเลือกตั้งปีหน้ามีแน่ คือคุณแพทองธารต่อให้รอด สุดท้ายปีหน้ายังไงก็ต้องมีการเลือกตั้ง
แล้วถ้านายกฯ แพทองธาร ‘ไม่รอด’ จะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้างในการเมืองไทย
ถ้าไม่รอด ก็ต้องมีการเลือกนายกฯ คนใหม่ โดยตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทน ก็ต้องเลือกนายกฯ ต้องมีการประชุมสภา ภายใน 3 วัน คือใช้เวลา 3 วัน ก็คือก็ต้องเป็นวันจันทร์หรือวันอังคารนี้ นัดต้องล่วงหน้า 3 วัน แต่ว่าก็มีข้อยกเว้น ถ้ามีเหตุจำเป็น ประธานสภาก็เรียกประชุมก่อน 3 วันได้ แต่ในทางปฏิบัติก็อย่างน้อย 3 วัน ผมคิดว่าก็คงไม่ประชุมช่วงวันเสาร์อาทิตย์หรอก ก็ต้องเป็นวันจันทร์อย่างเร็ว พอดีๆ ก็วันอังคาร นั่นแปลว่าก็จะเกิดการต่อรอง หรือเรียกว่าตั้งรัฐบาลกัน ตั้งแต่ศาลอ่านคำวินิจฉัย เรียกว่าต้องมีการต่อสายคุยกัน มีวงคุยเกิดขึ้น อย่างน้อยก็ 2 วง อะไรแบบนี้ที่จะต่อรองตั้งรัฐบาล
มันแทบจะเหมือนกับล้างไพ่มาเริ่มกันใหม่เลย เนื่องจากเหตุผลดังต่อไปนี้ ประการที่หนึ่ง ทางฝั่งฝ่ายค้านเขามีคู่แข่ง เขามีแคนดิเดตนายกเพียงคนเดียวคือคุณอนุทิน ชาญวีรกูล เพราะพรรคประชาชนไม่มีแคนดิเดตนายกฯ เพราะพรรคก้าวไกลก็ไม่มีแล้ว คุณพิธาก็ถูกตัดสิทธิไปแล้ว ส่วนพรรคพลังประชารัฐเสียง สส.ก็ไม่ถึง 25 คนแล้ว ซึ่งฝั่งฝ่ายค้านมีคนเดียว ก็คือการโหวตเลือกนายกฯ จะมี 2 คน คือทางฝั่งฝ่ายค้านคนหนึ่ง ก็คือคุณอนุทิน กับฝั่งรัฐบาลในเบื้องต้นจะเป็นคุณชัยเกษม
คำถามคือคุณทักษิณสามารถทำให้เสียง สส.ที่มีประมาณ 260 มายกมือให้ได้หมดไหม ให้คุณชัยเกษมเป็นต่อได้ไหม เพราะสถานการณ์มันไม่เหมือนตอนที่คุณเศรษฐาพ้นตำแหน่ง แล้วก็มีการประชุมโหวตเลือกคุณแพทองธาร ไม่เหมือนตรงที่ว่าตอนนั้นเนี่ยพรรคภูมิใจไทยยังอยู่กับพรรคเพื่อไทย เสียงจึงมีท่วมท้น มีตั้ง 320 เสียง ตอนนั้นก็ไม่มีพรรคไหนที่อยากจะทิ้งไป พรรค 10 เสียง 25 เสียงอะไรพวกนี้ ซึ่งก็คือพรรคชาติไทยพัฒนา พรรคประชาธิปัตย์ พรรครวมไทยสร้างชาติ ประชาธิปัตย์ก็เพิ่งเข้ามาในตอนคุณแพทองธารเป็นนายกฯ
แต่ตอนนี้พอภูมิใจไทยถอนตัวออกไป เสียงของรัฐบาลก็เกินครึ่งมาแค่ประมาณ 10 เสียง ความหมายคือว่า ถ้าหากมีพรรคร่วมรัฐบาลเพียงพรรคเดียว พรรคชาติไทยพัฒนา 10 เสียงเป็นต้น พรรคประชาธิปัตย์ เป็น 25 เสียงเป็นต้น หรือซีกหนึ่ง หรือครึ่งหนึ่งของพรรครวมไทยสร้างชาติ คือ 18 เสียงเป็นต้น ย้ายมาโหวตอีกข้างหนึ่ง พรรคเพื่อไทยก็เป็นฝ่ายค้านเลยนะ ความหมายคือ คุณทักษิณเขาจะประเมินว่า คุณชัยเกษมสู้คุณอนุทินได้ไหม
เพราะอย่าลืมว่าพรรคประชาชนประกาศว่าเขาพร้อมจะโหวตให้กับว่าที่นายกรัฐมนตรีทุกคน ที่จะยุบสภาภายใน 6 เดือน แล้วเลือกตั้งใหม่ แล้วก็ตอบรับข้อเสนอของเขา เรื่องของการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ คือโดยที่จะไม่ร่วมรัฐบาล ไอ้การประกาศว่าไม่ร่วมรัฐบาลเนี่ยมันมีผลยังไง มันก็มีผลคือว่าทำให้เก้าอี้รัฐมนตรี ซึ่ง 140 เสียงของพรรคประชาชน ถ้าคิดเร็วๆ ก็จะเป็นเก้าอี้ประมาณครึ่งหนึ่ง คือประมาณ 19 เก้าอี้ จาก 36 สมมติว่ามีการโหวตเป็นนายกฯ ด้วย สัก 260-270 พรรคประชาชนเขามี 140 ก็แปลว่าเขาได้ประมาณ 18-19 เก้าอี้ แต่พอเขาบอกว่าเขาไม่ร่วมรัฐบาล 18-19 เก้าอี้นี้ก็ตกเป็นของใคร ก็ของพรรคที่ร่วมรัฐบาล ดังนั้นโควต้าในการที่จะได้ 1 เก้าอี้รัฐมนตรี จากเดิม 6 เสียง 7 เสียง จนเหลือแค่ 3 สส. หรือ สส.3 คน ได้ 1 เก้าอี้
มันมีแรงจูงใจมากในการที่จะมีพรรคหนึ่งพรรคใดจากฝั่งรัฐบาลปัจจุบันจะย้ายข้างมา เพราะว่าต่อให้เป็น 6 เดือนแล้วยุบสภา ก็ต้องเลือกตั้งภายใน 60 วัน บวกไปอีก 2 เดือน เป็น 8 ละ เลือกตั้งเสร็จ กว่าจะประกาศผล ประชุมสภาอีก 2 เดือน 10 เดือนแล้วครับ กว่าจะมีนายกฯ กว่าจะอะไรก็ปาเข้าไป อาจจะ 10-11 เดือน เท่ากับมันก็ไม่ใช่ 6 เดือน มันไปถึง 11 เดือนได้เลยนะครับ
ฉะนั้นแม้จะเป็นแค่ 11 เดือน แต่จะคุ้มหรือเปล่า เพราะว่า แค่ สส.3 คน ก็ได้เป็นรัฐมนตรี ตำแหน่งเก้าอี้รัฐมนตรีมันจะกระจายอย่างทั่วถึง นั่นแปลว่าคุณทักษิณก็ต้องคิดแล้วว่าจะดึงพรรคที่เหลือทั้งหมดที่อยู่กับเพื่อไทยตอนนี้เอาไว้ได้ยังไง เพราะศาลรัฐธรรมนูญ ถ้าเขาจะให้พ้นตำแหน่งขึ้นมา เหตุผลของเขาว่าคุณแพทองธารไม่ซื่อสัตย์สุจริตอย่างไร ฝ่าฝืนหรือทำผิดธรรมอย่างร้ายแรงอย่างไร เขาก็ต้องให้เหตุผลเต็มที่ มันก็จะบอกซ้ำกับคุณแพทองธาร
แล้วก็ด้วยความที่มันเป็นประเด็นเรื่องของประเทศชาติด้วย มันเกี่ยวพันกับเรื่องชาตินิยมด้วย ไม่มีพรรคไหนหรอกครับที่อยากแพ้เลือกตั้งในคราวหน้า ทุกพรรคก็อยากชนะ หรือว่าได้ สส.มากที่สุด และข้อสำคัญคือทุกพรรคก็อยากเป็นรัฐบาลในช่วงเลือกตั้ง ฉะนั้นเขาก็จะเลือกแล้วว่าเขาจะอยู่ข้างไหนที่จะดีกว่า โอกาสของพรรคเพื่อไทยซึ่งปัจจุบันมีเพียง 260 เสียง ที่จะมีพรรคใดพรรคหนึ่งทิ้งจึงมีสูง ก็อยู่ที่ว่าคุณทักษิณจะเอายังไง สุดท้ายเนี่ยคุณทักษิณก็ต้องคิดแล้วว่าจะเป็นใคร
แปลว่า ‘ชัยเกษม นิติสิริ’ อาจไม่ใช่ตัวเลือกเดียวของพรรคเพื่อไทย?
ชัยเกษม นิติสิริ cr.พรรคเพื่อไทย
ถ้าหากคุณชัยเกษมสู้คุณอนุทินไม่ได้ เขาก็ต้องคิดว่าหรือจะเป็นคนอื่น คุณพีระพันธุ์หรือใคร เพราะว่าตามแนวทางคุณทักษิณคือจะต้องเป็นรัฐบาลให้นานที่สุด แล้วก็ควรจะเป็นคนยุบสภาเอง เป็นรัฐบาลรักษาการในช่วงเลือกตั้ง อย่างน้อยแม้จะกลับมาเป็นที่หนึ่งไม่ได้ แต่รักษาที่สองไว้ได้ ชิงความได้เปรียบกับพรรคภูมิใจไทย แล้วถ้าพอดีพอร้ายเกิดสามารถสร้างผลงานบางอย่าง เศรษฐกิจฟื้นมาได้ ก็อาจจะกลับมาชิงแชมป์กับพรรคประชาชนได้ หรือพรรคประชาชนเกิดภาพลักษณ์อะไรขึ้นมา
ทั้งหมดนี้พรรคเพื่อไทยจะเป็นฝ่ายค้านไม่ได้ พรรคเพื่อไทยต้องเป็นรัฐบาล ไปถึงการเลือกตั้ง แล้วก็ต้องเป็นรัฐบาลรักษาการ ดังนั้นในการโหวตเลือกนายกฯ ถ้าหากคุณแพทองธารพ้นตำแหน่ง มันจะแข่งกันดุเดือด คุณอนุทินเองก็เรียกว่า ด้วยความที่พรรคเพื่อไทยก็ไป ไปเล่นงานพรรคภูมิใจไทยเยอะ ทั้งเรื่องเขากระโดง แล้วไหนจะเป็นเรื่องฮั้ว สว.อีก ฉะนั้นพรรคภูมิใจไทยก็อยากที่จะชิงกับพรรคเพื่อไทย แล้วก็ต้องชนะให้ได้
ขณะที่คุณทักษิณก็ไม่ต้องการจะแพ้พรรคภูมิใจไทย งั้นคราวนี้ก็เรียกว่าถ้าคุณแพทองธารออก การเมืองมันจะเรียกว่าเหมือนกับเพิ่งเลือกตั้งเสร็จ ล้างไพ่เลยอะ แล้วก็คุณทักษิณจะต้องทำยังไงที่จะเป็นรัฐบาลต่อไปถึงยุบสภา แล้วก็เป็นรัฐบาลช่วงที่มีการเลือกตั้ง อันนี้แหละคือโจทย์ของคุณทักษิณ ทำให้แคนดิเดต ฝั่งคุณทักษิณเผลอๆ อาจจะไม่ใช่คุณชัยเกษมก็ได้ ถ้าประเมินแล้วว่าคุณชัยเกษมจะสู้คุณอนุทินไม่ได้ เขาก็ต้องงัดไม้อื่น
พรรคประชาชน ที่ถือเป็นพรรคใหญ่อีกพรรค ตอนนี้มีความสำคัญอย่างไรบ้าง
(Photo by Chanakarn Laosarakham / AFP)
แต่ทั้งนี้มันอยู่ที่พรรคประชาชนว่าเขาจะต่อรองยังไง กับทั้งภูมิใจไทยก็ดี หรือพรรคอื่นก็ดี เพราะว่าเขาพูดชัดว่าโหวตให้ทุกคน ถ้าหากรับเงื่อนไขเขา ทำให้ทุกพรรค ถ้าอยากเป็นนายกฯ ก็ต้องง้อพรรคประชาชน เพราะว่าถ้าหากเพื่อไทยไม่รวมภูมิใจไทย ก็ต้องคิดว่าหรือจะรวมกับประชาชนอีกครั้งหนึ่ง โดยทำตามเงื่อนไขของประชาชน
ขณะที่ภูมิใจไทยไม่อยากให้พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลต่อ ก็ต้องมารวมกับประชาชน และประชาชนก็เลยจะเกิดอำนาจต่อรองขึ้นมา อันนี้ให้ติดตามดูครับ ถ้าหากคุณแพรทองธารไม่รอดขึ้นมา การตั้งรัฐบาลเนี่ยก็จะเรียกว่าแทบจะเป็นเหมือนล้างไพ่เลย หลังเลือกตั้งเลยครับ คือเริ่มกันใหม่ แล้วก็ทั้ง 2 ขั้ว มันจะเป็นการแข่งกัน ก็อย่าลืมว่าขั้วสีส้มเขาไม่มีคนที่เป็นว่าที่นายกฯ มันคือการแข่งกันระหว่างแดงกับน้ำเงิน โดยมีตัวสีส้มเป็นตัวแปร
ผมคิดว่าตอนนี้ทุกพรรคโดนนิติสงครามกันหมดทุกพรรคเลย โดนคนละเรื่อง สองเรื่อง ทีนี้ก็ต้องดูว่าพอไปถึงสนามเลือกตั้งแล้ว ใครจะเป็นฝ่ายที่ประชาชนเลือกใน 3 พรรคนี้ หรือจะมีพรรคใหม่ พรรคใดขึ้นมา ที่เข้มแข็งพอจะขึ้นมาเป็นตัวเลือก แทรกเข้ามาใน 3 พรรคนี้ได้ ถ้าไม่มีก็เป็นตัวหลัก ก็มี 3 พรรคนะครับ คือพรรคแดง พรรคส้ม พรรคน้ำเงิน คือพรรคประชาชน พรรคเพื่อไทย และพรรคภูมิใจไทย แต่ว่าก็อันหนึ่งก็เปิดไว้นะ เปิดความเป็นไปได้ไว้ว่ามันจะมีการตั้งพรรคใหม่ขึ้นมาหรือไม่ยังไง มันก็มีข่าวอยู่ แต่ขึ้นมาก็ต้องมีน้ำหนักขนาดที่เรียกว่า ขึ้นมาเบียดได้เป็นพรรคที่สี่ มาแข่งกับ 3 พรรคนั้น
ถ้าเกิดเป็นพรรคที่ขึ้นมาแบบไม่ได้มีความโดดเด่น จนกระทั่งมาแบ่งคะแนนไปจากพรรคประชาชน พรรคเพื่อไทย พรรคภูมิใจไทย ก็จะไม่มีน้ำหนักอะไร โดยเบื้องต้นก็ยังมองว่าเลือกตั้งคราวหน้า ตามขณะที่มีข้อมูล ณ ขณะนี้ การแข่งขันก็เป็นเรื่องของ 3 พรรคนี้เป็นหลัก ซึ่งจะต้องรอดูกันต่อไป เมื่อถึงสนามเลือกตั้งแล้ว ใครจะมีความพร้อม หรือใครจะได้ใจประชาชนมากที่สุดครับ
อ้างอิงจาก
Graphic Designer: Phitsacha Thanawanich
Editor: Thanyawat Ippoodom