โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

สุขภาพ

'โคมล้านนา' กระชับช่องว่าง ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมให้คนเชียงใหม่

กรุงเทพธุรกิจ

อัพเดต 11 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 4 ชั่วโมงที่ผ่านมา

เชื่อว่านักท่องเที่ยวที่มาเชียงใหม่ส่วนมากคงต้องการมาสัมผัสเอกลักษณ์ วัฒนธรรม และเสน่ห์ที่แท้จริงของเมืองเชียงใหม่ ไม่ว่าจะเป็นวิถีชีวิต ประเพณี หรืออาหารการกิน มากกว่าความเจริญรุ่งเรืองสมัยใหม่ แต่ในขณะที่เมืองโตเร็วเข้าโอบล้อมชุมชนดั้งเดิม ทำให้ค่าครองชีพสูงขึ้น คนในชุมชนจึงประสบปัญหาเรื่องรายได้ และค่าใช้จ่าย ตลอดจนการเข้าถึงโอกาสหรือบริการใหม่ ๆ ที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิต ดังนั้นหากชุมชนหรือผู้ประกอบการไม่ปรับตัวก็อาจจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

โครงการ “พัฒนาศักยภาพทางธุรกิจและการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์โคมล้านนา สำหรับผู้ประกอบการในตำบลท่าศาลา อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ปี 2” ร่วมกับ กรอบการวิจัย “การพัฒนาขีดความสามารถของผู้ประกอบการในพื้นที่ (Local Enterprises) บนฐานทรัพยากรพื้นถิ่น เพื่อสร้างเศรษฐกิจฐานรากและเศรษฐกิจหมุนเวียนในพื้นที่” ภายใต้การสนับสนุนของหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.)

ข่าวที่ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

'FutureED Fest 2025' ชูแนวคิด'มนุษย์เป็นศูนย์กลาง' ใช้ AI ปรับการเรียนรู้

สดช.ปักหมุดศูนย์ดิจิทัล 2,222 แห่ง ลดเหลื่อมล้ำ-ยกระดับคุณภาพชีวิต

พลิกอาชีพ วิถีเดิมให้เป็นเทรนด์ใหม่

ผศ.ดร. สุบัน พรเวียง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หัวหน้าโครงการ กล่าวว่า เรื่องปากท้องของผู้คนเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของการพัฒนาในทุกมิติ “สิ่งสำคัญคือการพลิกสิ่งที่เป็นอาชีพ หรือวิถีเดิมที่ทำอยู่ให้เป็นเทรนด์ใหม่และเกิดการปรับตัวโดยใช้ฐานทุนที่มี” ซึ่งโครงการนี้ให้ความสำคัญกับผู้ประกอบการทำโคมประเพณีในเมืองเชียงใหม่ ซึ่งมีอยู่จำนวนมากโดยเฉพาะในพื้นที่ตำบลท่าศาลา เนื่องจากโคมมีความเกี่ยวโยงกับวัฒนธรรม ความศรัทธา และวิถีชีวิตดั้งเดิม

ดังนั้นโจทย์สำคัญจึงเป็นการยกระดับอาชีพนี้ให้สามารถหล่อเลี้ยงทุกชีวิตในห่วงโซ่การทำโคมให้อยู่รอดได้ในสังคมเมืองที่โตเร็วและมีความเหลื่อมล้ำสูง ทั้งยังเป็นการสืบสานศิลปวัฒนธรรมของเมืองเชียงใหม่ไปพร้อมกันด้วย

ดังนั้น รูปแบบอาชีพเดิม ๆ ที่ทำอยู่ โดยเฉพาะการทำมากได้น้อย ก็อาจต้องเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาให้เป็นการทำน้อยแต่ได้มากขึ้น ผ่านการแก้ Pain Point หลัก ๆ 3 ด้าน คือ ศักยภาพของผู้ประกอบการ คุณภาพผลิตภัณฑ์ และการตลาดในรูปแบบใหม่ เนื่องจากที่ผ่านมาผู้ประกอบการจะมีรายได้จากการทำโคมเพียง 3 เดือนต่อปีเท่านั้น คือเทศกาลลอยกระทงในช่วงประเพณียี่เป็ง หรือประเพณีเดือนยี่ ซึ่งคนจะนิยมบูชาหรือถวายโคมโดยเชื่อว่าจะนำแสงสว่างมาสู่ชีวิต การงาน และการเรียน เปรียบเสมือนเครื่องรางของล้านนา

ทัศศา ปันกัน ส่งเสริม "โคมล้านนา" ลดเหลื่อมล้ำ

หนึ่งเป้าหมายสำคัญของโครงการนี้ คือการทำให้ผู้ประกอบการสามารถสร้างรายได้จากโคมตลอดทั้งปี โดยทีมวิจัยเชื่อมโยงความร่วมมือกับวัด 5 แห่งในเมืองเชียงใหม่ ได้แก่ วัดดอนจั่น วัดยางกวง วัดล่ามช้าง วัดศรีดอนไชย และวัดพระธาตุดอยสุเทพฯ ร่วมกันออกแบบโคมมงคลขึ้นใหม่จากอัตลักษณ์ดั้งเดิมของแต่ละวัด ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบ/รูปทรง ลวดลาย วัสดุ สีสัน และการให้คุณค่าความหมาย พร้อมทั้งจัดพื้นที่ภายในวัดให้มีซุ้มบูชาและแขวนโคมมงคล สำหรับให้นักท่องเที่ยวหรือผู้มีจิตศรัทธาสามารถร่วมบูชาโคมมงคลที่วัดได้ตลอดทั้งปี

โดยสำคัญที่สุดคือการเชื่อมโยงกับผู้ประกอบการและกลุ่มผู้ผลิตโคมในชุมชนต่าง ๆ และโรงเรียนที่เป็นเครือข่ายของวัดในเมืองเชียงใหม่ บางคนทำเป็นอาชีพหลัก บางคนทำเป็นอาชีพเสริม แต่กว่าจะเป็นโคม 1 ลูก ต้องผ่านหลายขั้นตอน มีคนจำนวนไม่น้อยเข้ามาเกี่ยวข้อง

ดังนั้น เพื่อยกระดับห่วงโซ่ธุรกิจโคมมงคลให้ได้อย่างยั่งยืน จึงพัฒนา “บริษัท ทัศศา ปันกัน” กลไกสำคัญที่จะทำหน้าที่เป็นข้อต่อระหว่างผู้ประกอบการในการค้นหา Demand - Supply ระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภค โดยทำหน้าที่ 2 ส่วนคือ ดูแลความต้องการของผู้ซื้อโดยเชื่อมโยงกับทั้ง 5 วัด พร้อมทั้งดูแลการผลิตโคมให้ได้มาตรฐานตามที่กำหนดร่วมกันหรือตามที่ออกแบบไว้ โดยรูปแบบของโคมมงคลที่ออกแบบร่วมกับแต่ละวัดนั้นจะแตกต่างกันไป

บริษัท ทัศศา ปันกัน จะจัดการกระจายออเดอร์การผลิตไปยังผู้ประกอบการให้ทั่วถึงตามความสามารถของแต่ละชุมชนเพื่อสร้างดุลการค้าและลดการแข่งขันในพื้นที่ พร้อมทั้งจัดสรรออเดอร์การผลิตส่วนหนึ่งไปยังโรงเรียนเครือข่ายอีกด้วย ทั้งนี้ผู้มีจิตศรัทธายังสามารถฝากถวายหรือบูชาโคมมงคลกับทัศศาทางออนไลน์ ได้ที่ Facebook: ทัศศา – Tassa ตลอดทุกวัน 24 ชั่วโมง ซึ่งจะมีทีมงานทัศศาทำหน้าที่เป็นตัวแทนนำโคมมงคลไปแขวนยังวัดต่าง ๆ

นอกจากนั้นทัศศายังเชื่อมโยงตลาดใหม่ให้กับกลุ่มผู้ประกอบการโคม โดยเชื่อมโยงกับธุรกิจโรงแรม อาทิ โรงแรมเซ็นทารา ริเวอร์ไซด์ เชียงใหม่ และโรงแรมอื่น ๆ ในจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งมีนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวนมากเข้าพัก ทั้งในการรับทำโคมประดับโรงแรมโดยทัศศาร่วมออกแบบตามความต้องการของลูกค้าและนำเทคนิควิธีการทำมาถ่ายทอดให้ผู้ประกอบการและผู้ผลิตในชุมชนต่อไป

ผศ.ดร. สุบัน กล่าวเสริมว่า จากการทำงานร่วมกับผู้ประกอบการกลุ่มทำโคม โดยใช้เครื่องมือและองค์ความรู้จากกรอบวิจัย LE สามารถลดความเหลื่อมล้ำในพื้นที่ได้ใน 4 ด้าน คือ “มิติเศรษฐกิจ” ที่ช่วยแก้ปัญหาตั้งแต่ระดับรากฐานของผู้ประกอบการ ไม่ว่าจะเป็นการจัดการบัญชีครัวเรือน-บัญชีธุรกิจ หรือทักษะในการเป็นผู้ประกอบการ เช่น ก่อนหน้านี้ผู้ประกอบการทำโคมประเพณีขายลูกละ 7 บาท ในหนึ่งวันทำโคมได้ 20 ลูก ก็จะได้เงิน 140 บาท เมื่อชวนวิเคราะห์ให้ผู้ประกอบการเห็นข้อมูลก็จะพบว่า ในหนึ่งวันต้องทำเยอะมาก แต่สัดส่วนรายได้ไม่ถึงค่าแรงขั้นต่ำด้วยซ้ำ

ขณะที่คนได้เงินมากกลับเป็นพ่อค้าคนกลางที่มารับโคมไปขาย แต่งาน LE ทำให้เราต้องวิเคราะห์เพื่อยกระดับทั้งห่วงโซ่ของโคม ตั้งแต่ผู้ผลิตต้นน้ำ ผู้รวบรวม ผู้ขาย กระทั่งถึงมือผู้บริโภค ทำความเข้าใจลึกไปถึงการเกิดรายได้ของแต่ละคน เพื่อทำให้เกิดรายได้ที่มีความเหมาะสมและเป็นธรรมตลอดห่วงโซ่ของโคม

“จากเดิมทำโคมประเพณีส่งพ่อค้าคนกลางได้ใบละ 7 บาท เมื่อเริ่มทำโคมมงคลกับทัศศา ก็สามารถเพิ่มมูลค่าของโคมเป็นลูกละ 99 หรือ 100 กว่าบาท ทำให้รายได้โดยรวมของผู้ประกอบการเพิ่ม 3 - 4 เท่าต่อวัน ซึ่งแน่นอนว่ารายได้ที่เพิ่มขึ้นนั้นกระจายกลับไปหาคนในห่วงโซ่การผลิตต่าง ๆ ที่อยู่ในชุมชนด้วย อาทิ คนทำโครงไม้ ย้อมสี ติดกระดาษ ปักผ้า สกรีนลาย ต่อหางร้อยลูกปัด และขั้นตอนอื่น ๆ ในการผลิตโคม”

น.ส.ศิริรักษ์ คันธวงค์ รองประธานวิสาหกิจชุมชนสินค้าพื้นถิ่นตำบลท่าศาลา กล่าวว่า เมื่อรับออเดอร์โคมมงคลจากทัศศา เราจะทำหน้าที่กระจายงานไปยังผู้ผลิตในกระบวนการต่าง ๆ ตามความสามารถเพื่อกระจายรายได้ ซึ่งจริง ๆ เราทำโคมกันมานานตั้งแต่รุ่นก่อน ๆ แล้ว แต่ก็ไม่เคยรวมกลุ่มกันได้เพราะรายได้น้อย คนทำเยอะ ซึ่งต่างก็แข่งขันกันเอง เรารวมคนไม่ได้เพราะไม่สามารถทำให้คนอื่นเห็นภาพของความสำเร็จจากการรวมกลุ่ม จึงไม่ได้รับความเชื่อถือ

อีกทั้งเราไม่เคยคิดเรื่องต้นทุนหรือค่าแรง แม้จะทำทุกวัน ทำเยอะมาก แต่เงินที่ได้กลับเพียงพอ แต่ปัจจุบันนี้มีคนสนใจเข้ามาทำงานร่วมกับกลุ่มของเรามากขึ้น มีการกระจายรายได้ออกไปนอกชุมชนท่าศาลาถึงหมู่บ้านข้างเคียง และหมู่บ้านที่เป็นผู้ผลิตต้นน้ำ เช่น การซื้อไม้มาทำโครงของโคม หรือการซื้อกระดาษ เป็นต้น

นอกจากนั้นยังเกิดความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนใน “มิติสังคม” คือ การปฏิสัมพันธ์ และการเรียนรู้ร่วมกันในการประกอบอาชีพ เนื่องจากที่ผ่านมาทุกอย่างถูกกำหนดจากพ่อค้าคนกลางไม่ว่าจะเป็นจำนวนการผลิต หรือการกำหนดราคา

ส่วนผู้ผลิตก็จะกระจายตัวอยู่ในหมู่บ้าน แต่การผลิตโคมกับทัศศาทั้ง 5 แบบนั้น เป็นโคมรูปแบบใหม่ มีการใช้วัสดุและรูปทรงแตกต่างกันไป จึงทำให้กลุ่มได้มีการพูดคุย แลกเปลี่ยนข้อมูล วางแผนการผลิต กระจายงาน แบ่งปันเทคนิค และควบคุมคุณภาพผลิตภัณฑ์ไปด้วยกัน เป็นการเรียนรู้ผ่านการลงมือปฏิบัติ ทำงาน เป็น Teamwork ช่วยเหลือซึ่งกันและกันในชุมชน

โดยสิ่งที่ได้ตามมาคือ “มิติสุขภาพ” ที่เกิดจากการทำงานร่วมกัน การปฏิสัมพันธ์กันในบางกิจกรรมหรือบางขั้นตอนของการผลิตโคมสามารถช่วยลดความเครียด ทำให้สุขภาพจิตดีขึ้น และช่วยลดช่องว่างความสัมพันธ์ระหว่างผู้สูงอายุและลูกหลานได้ เพราะบางครั้งก็จะมีการจัดกิจกรรมหลักสูตรการผลิตโคมมงคลให้กับเด็กและเยาวชนหรือนักท่องเที่ยวที่สนใจโดยมีผู้สูงอายุในชุมชนเป็นครูภูมิปัญญา ซึ่งเชื่อว่าหากโมเดลของการเรียนรู้ผ่านวิถีชีวิตและอาชีพนี้ขยายไปยังพื้นที่ชุมชนอื่น ๆ ได้ก็จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำในสังคมได้

ยิ่งไปกว่านั้นโครงการนี้ยังช่วยลดความเหลื่อมล้ำใน “มิติการศึกษา” เนื่องจากการทำงานเกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรมนั้น หากต้องการให้เกิดความยั่งยืนจะต้องมีเรื่องของการสืบสานภูมิปัญญาหรือแนวคิดใหม่ ๆ ควบคู่ไปด้วย เนื่องจากคนทำโคมส่วนใหญ่ในปัจจุบันนี้เป็นคนรุ่นเก่า ดังนั้นสิ่งสำคัญคือทำให้ภูมิปัญญาการทำโคมเป็นงาน Handmade ที่กลายเป็นอาชีพของคนรุ่นใหม่ได้ เพื่อสืบสานศิลปวัฒนธรรมไปพร้อมกับการเลี้ยงชีพได้ด้วย ดังนั้นจึงต่อยอดความร่วมมือกับโรงเรียนเครือข่ายของวัดทั้ง 5 แห่ง ที่พร้อมนำหลักสูตรการเรียนรู้ไปใช้ เช่น โรงเรียนวัดศรีดอนไชย โรงเรียนวัดวังสิงห์คำ โรงเรียนวัดดอนจั่น และโรงเรียนวัดป่าแดด เป็นต้น

โดยมีผู้อำนวยการโรงเรียนและครู ร่วมขับเคลื่อนผ่านการบูรณาการร่วมกับหลักสูตรท้องถิ่นจัดการร่วมในการเรียนรู้ของนักเรียน ในลักษณะของ “ยุวทัศศา ปันกัน” ซึ่งเป็นการจำลองบริษัทเล็ก ๆ ขึ้นในโรงเรียนเพื่อเปิดพื้นที่และโอกาสให้เด็กได้เรียนรู้ผ่านการปฏิบัติจริงในโมเดลการทำธุรกิจชุมชนจากการทำโคมมงคลกับทัศศา

โดยเด็ก ๆ จะเรียนรู้จริงผ่านโครงสร้างการทำงานโดยมีผู้จัดการฝ่ายต่าง ๆ อาทิ ฝ่ายเหรัญญิกดูแลรายรับ-จ่าย ฝ่ายดูแลคำสั่งซื้อจากทัศศา ฝ่ายตรวจสอบคุณภาพ และฝ่ายออกแบบ เป็นต้น ซึ่งรายได้จากการทำโคมของนักเรียนที่เข้าร่วมกลุ่มนี้ขึ้นอยู่กับการจัดสรรของแต่ละโรงเรียน ซึ่งบางแห่งอาจเข้ากลุ่มในรูปแบบทุนการศึกษาสำหรับเด็ก ๆ

อย่างไรก็ตามการนำองค์ความรู้จาก LE มาใช้ยังช่วยลดความเหลื่อมล้ำในการเรียนรู้ได้อย่างยั่งยืน เพราะทีมวิจัยและมหาวิทยาลัยเองก็ได้รับการพัฒนาไปพร้อมกับผู้ประกอบการด้วย เปรียบเสมือนการฝังชิพความรู้และทักษะที่ได้รับจาก LE ให้อยู่กับผู้ประกอบการที่เป็น Local Enterprise ซึ่งอาจจะกลายเป็นชุมชนที่ขยายฐานส่งต่อการสร้างงาน สร้างรายได้ให้ชุมชนอื่น ๆ ได้ใช้เป็นต้นแบบในอนาคตต่อไป

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก กรุงเทพธุรกิจ

อินเดียบน ‘ทางสองแพร่ง’ ตลาดใหญ่สหรัฐ VS น้ำมันถูกรัสเซีย เลือกข้างไหนดีกว่า?

35 นาทีที่แล้ว

มทภ.2 ประณาม กัมพูชา วางทุ่นระเบิดฐานพลาสติก หลบเครื่องตรวจ ทหารไทยข้อเท้าขาด

38 นาทีที่แล้ว

รองโฆษกรัฐบาลชี้ยังไม่พบผู้เสียหายและทำผิด กม.กรณีสแกนม่านตา

55 นาทีที่แล้ว

บิ๊กล็อต ADVANC สะพัด 1 หมื่นล้าน! คาดผู้ถือหุ้นลำดับ 10 MOUNT BATUR LIMITED เทขายหุ้นใหญ่

56 นาทีที่แล้ว

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความสุขภาพอื่น ๆ

โรงพยาบาลวิมุต เปิดศูนย์หัวใจและหลอดเลือด ภายใต้คอนเซปต์ Heart to Heart หัวใจที่ดูแลด้วยหัวใจ

TNN ช่อง16

‘ตรวจสุขภาพแรงงานต่างด้าว’ เปิดชื่อ 36 รพ.เอกชน ทำถูกกฎหมาย

กรุงเทพธุรกิจ

แค่ 16 บาท/คน/ปี งบฯการแพทย์ฉุกเฉินไทย ต่ำกว่ามาตรฐานWHO

กรุงเทพธุรกิจ

สธ. ไฟเขียวเก็บค่าบริการการแพทย์ฉุกเฉินนักท่องเที่ยวต่างชาติ

ฐานเศรษฐกิจ

เจอจับทุกกรณี! สั่งรื้อระบบ ล้างต่างด้าวผิดกฎหมาย แย่งงานคนไทย

กรุงเทพธุรกิจ

กินเนื้อเสี่ยงมะเร็งจริงไหม แล้วกินแบบไหนชีวิตอยู่ได้ยืนยาว

Amarin TV

ข่าวและบทความยอดนิยม

Loading...
Loading...
Loading...
รีโพสต์ (0)
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...