การบินไทย ติดปีกราคาพุ่งแรง โบรกฯคาดทะยาน 10.70 บาท
บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI กลับมาเทรดใน SET อย่างยิ่งใหญ่ในรอบกว่า 4 ปี หลังศาลมีคำสั่งยกเลิกการฟื้นฟูกิจการ ราคาเปิดพุ่งทะยานที่ราคา 10.50 บาทต่อหุ้น จากราคา IPO ที่ 4.48 บาท
โบรกฯ ส่วนใหญ่มองแนวโน้มเชิงบวก จากการปรับโครงสร้างหนี้ครั้งใหญ่กว่า 4 แสนล้านบาท ทำให้บริษัทพลิกกลับมามีสถานะการเงินที่แข็งแกร่ง พร้อมด้วยเงินสดในมือจำนวนมหาศาล และโครงสร้างต้นทุนที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้หลายโบรกฯ แนะนำ "ซื้อ" โดยให้ราคาเป้าหมายสูงสุดถึง 10.70 บาท
เมื่อวานนี้ 4 สิงหาคม 2568 บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI ได้กลับเข้าสู่ตลาดหุ้นอีกครั้งหลังจากที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งยกเลิกการฟื้นฟูกิจการของบริษัทโดยผลการเทรดวันแรก เปิดตัวพุ่งแรงที่ประมาณ 10.50 บาทต่อหุ้น จากราคา IPO ที่ 4.48 บาท โดยมีราคาสูงสุดที่ 11.00 บาทต่อหุ้น
โดยก่อนหน้านี้ THAI ถูกขึ้นเครื่องหมาย SP พักการซื้อขายไปตั้งแต่วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564 ที่ราคาปิดสุดท้าย 3.32 บาท เนื่องจากมีปัญหาด้านฐานะทางการเงิน และต้องเข้าสู่แผนฟื้นฟูกิจการ
โดยศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งยกเลิกการฟื้นฟูกิจการของการบินไทย เนื่องจากมีการปรับโครงสร้างหนี้ จำนวน 4 แสนล้านบาท เหลือ 9.5 หมื่นล้านบาท (ณ สิ้นไตรมาส 1/68)
ส่วนของผู้ถือหุ้นพลิกกลับมาเป็นบวก 5.5 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้ฐานะการเงินแข็งแกร่งขึ้นเป็น Net Cash Company ด้วยเงินสดและรายการเทียบเท่ากว่า 1.25 แสนล้านบาท เพียงพอสำหรับการลงทุนในระยะ 3 ปี โดยไม่ต้องก่อหนี้เพิ่ม
การบินไทยมีการปรับลดขนาดองค์กรและค่าตอบแทน ทำให้ค่าใช้จ่ายพนักงาน (Employee & Crew Expenses) ในปัจจุบันคิดเป็น 9.7% ของรายได้ ถือว่าต่ำกว่าในอดีตที่ 23% อย่างมีนัยสำคัญ
ข้อมูลงบการเงินปี 2567 การบินไทยสร้างรายได้ 187,249 ล้านบาท เติบโต 19% จากช่วงปีก่อน และมีกำไรหลัก (Core Profit) 22,246 ล้านบาท แต่กำไรสุทธิ (Net Profit) ยังขาดทุนสุทธิ -26,934 ล้านบาท
ปัจจุบันกระทรวงการคลังยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ สัดส่วนประมาณ 39% ของทุนจดทะเบียน รองลงมาคือ ธนาคารกรุงเทพ 8.5% และธนาคารกรุงไทย 4.6% ส่วนจำนวนผู้ถือหุ้นรายย่อยที่ติดหุ้น THAI มีทั้งสิ้นกว่า 110,000 ราย ซึ่งกำลังนับวันรอคอยการกลับมาซื้อขายอีกครั้ง
ทั้งนี้ บล.ทิสโก้ แนะนำ “ซื้อ” มูลค่าที่เหมาะสม 10.40 บาท
โดย THAI กำลังกลับมาอย่างแข็งแกร่งหลังจากผ่านกระบวนการฟื้นฟูกิจการเป็นเวลา 4 ปี เราเริ่มต้นการวิเคราะห์ด้วยคำแนะนำ “ซื้อ” ด้วยมูลค่าที่เหมาะสมที่ 10.40 บาท โดยมีปัจจัยหนุนจากสภาพแวดล้อมด้านอุปสงค์ที่เอื้ออำนวยความสามารถในการรักษาระดับรายได้ต่อผู้โดยสาร โครงสร้างงบดุลที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และการขยายฝูงบินอย่างต่อเนื่อง
THAI อยู่ในตำแหน่งที่ดีในการได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของการเดินทางทางอากาศทั่วโลก โดยมีรายได้กว่า 95% มาจากตลาดในเอเชียแปซิฟิกและยุโรป และมีส่วนแบ่งตลาดสูงถึง 22% ที่สนามบินสุวรรณภูมิ บริษัทคาดว่าจะสามารถเพิ่มรายได้ต่อผู้โดยสารได้อย่างแข็งแกร่ง โดยได้รับแรงหนุนจากการปรับเส้นทางบินไปยังจุดหมายปลายทางที่มีรายได้สูงขึ้น และการนำเครื่องบินขนาดเล็กที่ประหยัดเชื้อเพลิง เช่น A321neo มาใช้งาน
การเติบโตระยะยาวยังได้รับแรงหนุนจากการขยายพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ เช่น การร่วมธุรกิจกับสายการบิน Turkish Airlines และ loyalty program ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ THAI ยังมีแผนลงทุนในศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (MRO) เพื่อรองรับขนาดฝูงบินที่ใหญ่ขึ้นและการขยายตัวในระดับภูมิภาค
การฟื้นตัวทางการเงินของ THAI กำลังดำเนินไปในทิศทางที่ดี โดยคาดว่ารายได้จะเติบโต 3%, 6% และ 13% ในช่วงปี 2025–2027F จากปริมาณผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นและการขยายกำลังการผลิต กำไรหลักคาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 8.6% ต่อปี
โดยได้รับแรงหนุนจากรายได้ต่อผู้โดยสารที่ดีขึ้น ต้นทุนเชื้อเพลิงที่ลดลง และประสิทธิภาพการดำเนินงานที่ดีขึ้น THAI ได้ออกจากกระบวนการฟื้นฟูกิจการ (ซึ่งมีหนี้สินกว่า 4 แสนล้านบาท) โดยเปลี่ยนหนี้เป็นทุน ส่งผลให้ยอดหนี้คงเหลือลดลงเหลือ 95,000 ล้านบาท ณ 1Q25
จึงเริ่มต้นการวิเคราะห์ THAI ด้วยคำแนะนำ “ซื้อ” และมูลค่าที่เหมาะสมที่ 10.40 บาท โดยอิงจากค่า EV/EBITDA ณ สิ้นปี 2026 ที่ 4.4 เท่า ซึ่งเทียบเท่ากับค่า P/E ปีหน้าที่ 10.1 เท่า THAI โดดเด่นด้วยผู้โดยสารที่หลากหลาย, ความสามารถในการตั้งราคาที่แข็งแกร่ง และโครงสร้างต้นทุนที่ได้รับการปรับปรุงหลังการฟื้นฟูกิจการ
ความเสี่ยงหลัก ได้แก่ ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ความล่าช้าในการปรับปรุงฝูงบิน ค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรที่สูงขึ้น และการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากสายการบินต้นทุนต่ำ (LCC)
บล.ทรีนีตี้ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า การกลับเข้ามาซื้อขายในตลาดหุ้นไทยอีกครั้งของหุ้น THAI ทำให้ตัวหุ้นมีขนาด Market cap ขึ้นไปอยู่ในในช่วง 20 ลำดับแรกของหลักทรัพย์ในดัชนี SET50 และดัชนี SET100 หรือมีน้ำหนักมากกว่าร้อยละ 1 ของ SET market cap จะทำให้ ตัวหุ้นมีโอกาสเข้าเกณฑ์ Fast track ที่ทางตลท.อาจพิจารณาเพิ่มหลักทรัพย์ดังกล่าวเป็นองค์ประกอบในดัชนี SET50/SET100 หรือไม่
นอกจากนั้นแล้ว ในฝั่งของดัชนีสำคัญๆอื่นเช่น MSCI ก็ต้องติดตามด้วยว่าจะมีการนำตัวหุ้นดังกล่าวเข้าสู่ดัชนี Standard Index ระหว่างกาลด้วยหรือไม่เช่นกัน หากเกิดขึ้น มองว่าจะเป็นปัจจัยเชิงบวกต่อตัวหุ้น THAI ที่รออยู่
ทั้งนี้ หากมีการใช้เกณฑ์ Fast track กับหุ้นตัวนี้จริง จะต้องติดตามดูด้วยว่า ตลท. จะมีการ Re-cap weight น้ำหนักหุ้นสมาชิกในดัชนี SET50/SET100 ใหม่หรือไม่ ซึ่งหากเกิดขึ้น จะส่งผลกระทบเชิงลบต่อตัว DELTA
ซึ่งปัจจุบันมีน้ำหนักในดัชนี SET50 ราว 13.2% ในตลาดได้อีกครั้ง สำหรับในกรณีนี้ หุ้นในดัชนี SET50 และ SET100 ที่มีความเสี่ยงจะถูกถอดออกจากดัชนี เพื่อให้หุ้น THAI เข้ามาแทน อ้างอิงจากขนาด Market cap ล่าสุดจะได้แก่ VGI และ JMART
ในทางกลับกัน หากตัวหุ้น THAI ไม่ได้ถูกนำเข้าผ่านเกณฑ์ Fast track ในรอบนี้ มองว่าการประเมินการปรับเปลี่ยนดัชนีในรอบถัดไป 1H26 ของตลท. ตัวหุ้นก็จะยังไม่ถูกนำเข้าดัชนี SET50/SET100 เช่นกัน เนื่องจาก Track record ของตัวหุ้นที่เข้าเทรดยังไม่ถึงระดับขั้นต่ำ 6 เดือนในรอบพิจารณาดังกล่าวนั่นเอง
บล.หยวนต้า(ประเทศไทย) แนะนำซื้อหุ้น THAI ให้ราคาเหมาะสมที่ 10.70 บาท มองว่าการเข้าแผนฟื้นฟูกิจการเป็นการปรับโครงสร้างองค์กรครั้งสำคัญ พ้นจากการเป็นรัฐวิสาหกิจสู่ก้าวใหม่ในฐานะบริษัทเอกชนที่ดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ คล่องตัวและโปร่งใส
ซึ่งได้มีการลดขนาดองค์กรและฝูงบินไปจำนวนมาก รวมถึงปรับโครงสร้างทุนและทยอยจ่ายหนี้อย่างต่อเนื่อง ทำให้มีสถานะทางการเงินที่ดีขึ้น เมื่อรวมเงินสดและรายการเทียบเท่าถือเป็น Net Cash Company
นอกจากนี้ประเมินว่า THAI จะได้ประโยชน์จากดีมานด์การเดินทางที่เพิ่มขึ้นตามภาพอุตสาหกรรมและจากแผนการเป็น Aviation Hub ของภาครัฐฯการขยายเครือข่ายการบินจะหนุนให้จำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้น และรองรับการขยายฝูงบิน
โดยคาดกำไรปกติปี 2568-2570 ของ THAI จะอยู่ที่ 2.8 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% YoY, 3.0 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% YoY และ 3.1 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% YoY เติบโต 11%
CAGR หนุนจากการขยายฝูงบินเชิงรุกเพื่อเพิ่มความแข่งขันในตลาดสายการบิน Full Service, การบริหารต้นทุนการดำเนินงานที่ดีขึ้น และแนวโน้มต้นทุนน้ำมันที่ปรับตัวลงเช่นเดียวกับภาระทางการเงินที่ลดลงต่อเนื่องจากการทยอยชำระหนี้คืนตามแผน
บล.กรุงศรี ประเมินราคาเหมาะสมหุ้น THAI อยู่ที่ 7.65 บาท โดยคาดผลประกอบการที่แข็งแกร่ง มีกำไรปกติมากกว่า 2 หมื่นล้านบาทต่อปี และมีฐานะการเงินที่มั่นคง มีเงินสดกว่า 1.2 แสนล้านบาท อัตราหนี้สินที่มีดอกเบี้ยต่อทุน 2.2 เท่า หากราคาเปิดในวันที่ 4 ส.ค. นี้ต่ำกว่าราคาเป้าหมาย มองว่าเป็นโอกาสในการเข้าลงทุน
ฝ่ายวิจัยกรุงศรี คาดว่า THAI ในปี 2568 จะมีกำไรปกติอยู่ที่ 2.6 หมื่นล้านบาท เติบโต 25% YoY จากการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพต่อเนื่อง อัตราบรรทุกผู้โดยสาร 80% ราคาตั๋วโดยสารเฉลี่ย 9,483 บาท สูงกว่าช่วง Pre-Covid ถึง 56%
และยังได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันลดลง 9% YoY ทำให้ต้นทุนบริการต่อหน่วยลดลง 6% YoY อีกด้วย ขณะที่ปี 2569 คาดมีกำไรปกติ 2.2 หมื่นล้านบาท ลดลง 16% YoY จากแนวโน้มการแข่งขันสูงขึ้น และราคาน้ำมันสูงขึ้นฉุดอัตราทำกำไร
การฟื้นฟูกิจการทำให้ THAI มีโครงสร้างต้นทุนดีขึ้น อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มเป็น 35-40% จากก่อนฟื้นฟูอยู่ที่ 20-30% ค่าใช้จ่าย SG&A ลดลงกว่า 40% เมื่อเทียบกับก่อนฟื้นฟู และกลยุทธ์Network Strategy (รวมถึงการฟื้นของอุตฯ การบิน) หนุนให้อัตราบรรทุกผู้โดยสารและราคาตั๋วเฉลี่ยเติบโตอย่างแข็งแกร่ง