ชัวร์ก่อนแชร์ CHECK-LIST : 5 เรื่องฮิต สารพัดคำเตือนอันตรายจากการขยี้ตา จริงหรือ ?
สำนักข่าวไทย Online
อัพเดต 18 กรกฎาคม 2568 เวลา 17.56 น. • เผยแพร่ 4 ชั่วโมงที่ผ่านมา • สำนักข่าวไทย อสมทบทความนี้เรียบเรียงโดยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์(Artificial Intelligence : AI) โดยมีเนื้อหาหลักจากคลิปวิดีโอ
16กรกฎาคม 2568
แค่ขยี้ตา…อาจนำพาสู่สารพัดโรคตาที่คุณคาดไม่ถึง
“การขยี้ตา” เป็นพฤติกรรมที่เราทำกันจนเป็นนิสัย เวลาที่รู้สึกคันตา ง่วงนอน หรือมีสิ่งแปลกปลอมเข้าตา แต่คุณเคยรู้หรือไม่ว่าการกระทำที่ดูเหมือนไม่มีอะไรนี้ แท้จริงแล้วแฝงไปด้วยอันตรายที่อาจส่งผลเสียต่อดวงตาคู่สวยของเราได้อย่างคาดไม่ถึง บทความนี้จะพาไปไขข้อเท็จจริงจากความเชื่อยอดนิยมเกี่ยวกับการขยี้ตาและการดูแลดวงตา เพื่อให้คุณตระหนักถึงภัยร้ายที่ใกล้ตัวกว่าที่คิด
1. “น้ำเกลือ”สามารถล้างตาได้ จริงหรือ ?
ตรวจสอบกับ รศ.นพ.ศักดิ์ชัย วงศกิตติรักษ์ ประธานวิชาการ ราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย
คำตอบจากผู้เชี่ยวชาญ : จริง แชร์ต่อได้
น้ำเกลือที่สามารถใช้กับดวงตาได้อย่างปลอดภัยนั้น ไม่ใช่เกลือชนิดใดก็ได้ แต่ต้องเป็นน้ำเกลือทางการแพทย์ (Normal Saline Solution) ที่มีคุณสมบัติเฉพาะเจาะจง ดังนี้
- ความเข้มข้นที่เหมาะสม : ต้องมีความเข้มข้นของเกลือโซเดียมคลอไรด์อยู่ที่ 0.9% ซึ่งเป็นระดับความเข้มข้นที่ใกล้เคียงกับของเหลวในร่างกายและน้ำตาของเรา ทำให้ไม่เกิดการระคายเคืองต่อเซลล์ที่บอบบางของดวงตา
- ผ่านการฆ่าเชื้อ (Sterile) : ต้องเป็นน้ำเกลือที่ผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อโรคมาแล้วอย่างสมบูรณ์ เพื่อป้องกันการนำเชื้อโรคเข้าสู่ดวงตา ซึ่งอาจนำไปสู่การติดเชื้อที่รุนแรงได้
ดังนั้น การนำเกลือแกงมาผสมกับน้ำต้มสุกเพื่อใช้ล้างตาเองที่บ้านจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะเราไม่สามารถควบคุมความเข้มข้นและความสะอาดได้ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของการติดเชื้อที่เยื่อบุตา หรือร้ายแรงจนถึงขั้นตาบอดได้
ควรใช้น้ำเกลือล้างตาเมื่อไหร่ ?
แม้ว่าน้ำเกลือทางการแพทย์จะปลอดภัย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราควรใช้ล้างตาเป็นประจำทุกวัน โดยปกติแล้ว ร่างกายของเรามีกลไกการทำความสะอาดดวงตาที่ดีที่สุดอยู่แล้ว นั่นคือ “น้ำตา” ที่จะคอยชะล้างสิ่งแปลกปลอมเล็ก ๆ น้อย ๆ ออกไปเองตามธรรมชาติ
2. “น้ำยาล้างตา”ใช้ทุกวันอันตราย จริงหรือ ?
ตรวจสอบกับ รศ.นพ.ศักดิ์ชัย วงศกิตติรักษ์ ประธานวิชาการ ราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย
คำตอบจากผู้เชี่ยวชาญ : ไม่จริง ไม่ควรแชร์ต่อ
แม้ว่าน้ำยาล้างตาบางชนิดจะไม่ได้เป็นอันตรายหากใช้ทุกวัน แต่โดยปกติแล้วจักษุแพทย์ไม่แนะนำให้ใช้บ่อย ๆ เพราะร่างกายของเรามีกลไกการทำความสะอาดที่ดีที่สุดอยู่แล้ว นั่นคือ “น้ำตา” ซึ่งจะถูกผลิตออกมาเพื่อชะล้างฝุ่นผงและสิ่งแปลกปลอมออกจากดวงตาตลอดทั้งวันโดยอัตโนมัติ
จักษุแพทย์แนะนำว่าควรใช้น้ำยาล้างตาในกรณีที่มีความจำเป็นจริง ๆ เท่านั้น เช่น เมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้าตาอย่างชัดเจน และการล้างด้วยน้ำสะอาดหรือการกะพริบตาไม่สามารถช่วยให้ดีขึ้นได้ การใช้น้ำยาล้างตาในถ้วยครอบตาแล้วกรอกตาไปมา อาจช่วยให้สิ่งแปลกปลอมหลุดออกได้ง่ายขึ้น
3. “ขยี้ตาบ่อย”เสี่ยงตาบอด จริงหรือ ?
ตรวจสอบกับ รศ.นพ.ศักดิ์ชัย วงศกิตติรักษ์ ประธานวิชาการ ราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย
คำตอบจากผู้เชี่ยวชาญ : จริง แชร์ต่อได้
การขยี้ตาอย่างรุนแรงและต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน สามารถทำลายความแข็งแรงของกระจกตาดำ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อการมองเห็น จนอาจนำไปสู่ภาวะ “กระจกตาย้วย” ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษาจากจักษุแพทย์อย่างทันท่วงที ก็มีความเสี่ยงที่จะทำให้สูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรหรือตาบอดได้ในที่สุด
ทำไมการขยี้ตาจึงอันตราย ?
ดวงตา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “กระจกตา” ซึ่งเป็นส่วนที่อยู่ด้านหน้าสุดของลูกตา มีความบอบบางอย่างมาก การออกแรงขยี้ตาอย่างรุนแรงและทำซ้ำ ๆ ต่อเนื่องเป็นเวลานาน จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อโครงสร้างของกระจกตา ทำให้ความแข็งแรงของเนื้อเยื่อกระจกตาลดลง และนำไปสู่ภาวะที่เรียกว่า “กระจกตาย้วย”(Keratoconus) ได้ในที่สุด
ทำความรู้จัก “กระจกตาย้วย”ภาวะร้ายจากปลายนิ้ว
กระจกตาย้วย คือภาวะที่กระจกตาซึ่งปกติควรมีลักษณะโค้งมนเหมือนโดม เกิดการสูญเสียความแข็งแรง ทำให้รูปร่างผิดเพี้ยนไป โดยจะบางลงและโป่งนูนออกมาคล้ายรูปกรวย การเปลี่ยนแปลงรูปร่างนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการหักเหของแสง ทำให้การมองเห็นผิดเพี้ยนไปอย่างมาก
ใครคือกลุ่มเสี่ยง ?
- คนที่ชอบขยี้ตา : เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุด
- ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ : โดยเฉพาะภูมิแพ้ที่เยื่อบุตาหรือเปลือกตาอักเสบ ซึ่งมักมีอาการคันตาเรื้อรัง ทำให้ต้องขยี้ตาเป็นประจำ
- ผู้ที่มีปัจจัยทางพันธุกรรม : เช่น ผู้ป่วยกลุ่มอาการดาวน์ (Down Syndrome) หรือผู้ที่มียีนผิดปกติที่ส่งผลต่อความแข็งแรงของกระจกตา
4. “ขยี้ตาบ่อย”ทำให้หน้าแก่ก่อนวัย จริงหรือ ?
ตรวจสอบกับ รศ.นพ.ศักดิ์ชัย วงศกิตติรักษ์ ประธานวิชาการราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย
คำตอบจากผู้เชี่ยวชาญ : จริง แชร์ต่อได้
ผิวหนังบริเวณรอบดวงตาเป็นส่วนที่บอบบางที่สุดในร่างกาย การขยี้ตาบ่อย ๆ จะทำลายคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวหนังสูญเสียความกระชับ เกิดริ้วรอยและความหย่อนคล้อยตามมา ไม่เพียงเท่านั้น การขยี้ยังกระตุ้นให้หลอดเลือดฝอยรอบดวงตารั่วซึม ทำให้เกิดรอยคล้ำใต้ตาที่ยากจะแก้ไขให้หายขาดได้
5. “ขยี้ตาบ่อย” เสี่ยงโรคเพียบ จริงหรือ ?
ตรวจสอบกับ รศ.นพ.ศักดิ์ชัย วงศกิตติรักษ์ ประธานวิชาการราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย
คำตอบจากผู้เชี่ยวชาญ : จริง แชร์ได้
มือของเราเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคชั้นดี การขยี้ตาจึงเป็นการเปิดโอกาสให้เชื้อโรคเข้าสู่ดวงตาโดยตรง ซึ่งอาจนำไปสู่การติดเชื้อที่รุนแรง เช่น กระจกตาถลอก หรือการติดเชื้อเป็นหนองที่กระจกตาดำ
5 ภัยร้ายที่มาพร้อมกับการขยี้ตา
- เสี่ยงติดเชื้อรุนแรง : การขยี้ตาอาจทำให้เกิดรอยถลอกเล็ก ๆ บนกระจกตา ซึ่งเปรียบเสมือนการเปิดทางให้เชื้อโรคจากมือเข้าสู่ดวงตาได้โดยง่าย และอาจลุกลามจนเกิดการติดเชื้อเป็นหนองที่กระจกตาดำ ซึ่งเป็นภาวะที่อันตรายอย่างยิ่ง
- กระจกตาโก่งหรือย้วย (Keratoconus) : นี่คือหนึ่งในผลกระทบระยะยาวที่น่ากังวลที่สุด การขยี้ตาบ่อย ๆ โดยเฉพาะในผู้ที่มีภาวะภูมิแพ้ที่ตา จะเป็นการสร้างแรงกดที่ทำให้โครงสร้างของกระจกตาอ่อนแอลงและค่อย ๆ โป่งนูนออกมาผิดรูป ส่งผลให้ค่าสายตาเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะสายตาเอียงที่เพิ่มขึ้นมากผิดปกติ
- เลนส์ตาเคลื่อนและจอประสาทตาฉีกขาด : ในผู้ที่มีเอ็นยึดเลนส์ตาไม่แข็งแรง หรือผู้ที่ขยี้ตาอย่างรุนแรงมาก ๆ แรงกดจากการขยี้อาจมากพอที่จะทำให้เลนส์ตาเคลื่อนออกจากตำแหน่งปกติได้ และที่ร้ายแรงไปกว่านั้นคืออาจกระตุ้นให้เกิดการฉีกขาดหรือหลุดลอกของจอประสาทตา ซึ่งสามารถนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรได้
- กล้ามเนื้อตาอ่อนแรงและหนังตาตก : การขยี้ตาบ่อย ๆ โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ จะยิ่งไปเร่งให้กล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่พยุงเปลือกตาเกิดการยืดและอ่อนแรงลง ทำให้ภาวะหนังตาตกที่เป็นอยู่แล้วรุนแรงขึ้น จนอาจบดบังการมองเห็นได้
- ทำให้อาการแย่ลง : หากมีสิ่งแปลกปลอม เช่น เศษฝุ่นหรือเศษเหล็กเข้าตา การขยี้ตาคือสิ่งที่ห้ามทำเด็ดขาด เพราะจะยิ่งทำให้สิ่งแปลกปลอมนั้นฝังลึกลงไปในเนื้อกระจกตา ทำให้เกิดแผล และยากต่อการรักษา
บทสรุป
โดยสรุปแล้ว การขยี้ตาเป็นพฤติกรรมที่ควรหลีกเลี่ยงอย่างเด็ดขาด เพราะผลเสียที่ตามมานั้นร้ายแรงกว่าที่คิด ตั้งแต่ปัญหาริ้วรอยรอบดวงตาไปจนถึงความเสี่ยงที่จะตาบอด การดูแลดวงตาที่ดีที่สุดคือการปล่อยให้กลไกธรรมชาติของร่างกายทำงาน และเมื่อเกิดความผิดปกติใด ๆ ควรรีบปรึกษาจักษุแพทย์ทันที เพื่อรักษาดวงตาอันมีค่าให้อยู่กับเราไปนาน ๆ ค่ะ
ตรวจสอบข้อเท็จจริงโดย : พีรพล อนุตรโสตถิ์
ตรวจสอบบทความโดย : ชยานิษฐ์ ผ่องใส