ฝรั่งมาจริงหรือหลอก
เมื่อวานนี้ (23 ก.ค.) นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทย 4,492 ล้านบาท
หากนับจากต้นเดือนก.ค. 68 เป็นต้นมา
จะพบว่า ต่างชาติซื้อหุ้นไทยต่อเนื่องรวมสุทธิกว่า 11,130 ล้านบาท
การซื้อหุ้นไทยวานนี้ของฝรั่ง ยังเป็นการซื้อหุ้นไทยต่อเนื่องเป็นวันที่ 6 ติดต่อกัน หรือนับจากวันพุธที่ 16 ก.ค.เป็นต้นมา
จากการพุดคุยกับนักวิเคราะห์หลายคนเมื่อวานนี้
ต่างมองเหมือนกันว่า แรงซื้อรอบล่าสุดของต่างชาติค่อนข้าง “แข็งแรง”มาก ๆ หรือหากจะนับการซื้อต่อเนื่องของต่างชาตินั้น คือ ในช่วง 12 วัน (ทำการ) ที่ผ่านมา ต่างชาติซื้อมากถึง 11 วัน และขายสุทธิเพียง 1 วันเท่านั้น (-592 ล้านบาท) เมื่อวันที่ 15 ก.ค.68
แรงซื้อของต่างชาติ ยังช่วยหนุนดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ พลิกฟื้นตัวอย่างโดดเด่นแห่งหนึ่งของโลกจากต้นเดือนก.ค. 68
หรือหากจะบอกว่า ปรับตัวขึ้นแกร่งสุด มากสุดในโลกเลยก็ไม่ผิดนัก
เพราะเมื่อดูจากวันที่ 7 ก.ค.ที่ผ่านมา ที่เป็นวันแรกของต่างชาติเริ่มเข้ามาซื้อต่อเนื่อง
ขณะนั้นดัชนีฯ อยู่ที่ระดับ 1,119 จุด
ส่วนวานนี้ดัชนีฯ ขึ้นมาปิดที่ 1,219 จุด หรือในช่วงวันที่ 7 -23 ก.ค. 68 (รวม 12 วันทำการ). ดัชนีหุ้นไทยขึ้นมาแล้ว 100 จุด คิดเป็น +8.93%กลายเป็นตลาดหุ้นร้อนแรงสุดในโลกภายในช่วงเวลาดังกล่าว
หุ้นไทยที่ปรับขึ้นมาพร้อมกับการเข้ามาของต่างชาตินั้น
ยังมาพร้อม ๆ กับมูลค่าการซื้อขายที่มากขึ้นต่อเนื่อง
วอลุ่มบางวันสูงกว่า 6.3 หมื่นล้านบาท ทำให้มูลค่าซื้อขายที่เป็นค่าเฉลี่ยในช่วง 12 วัน ขึ้นมาอยู่ที่ 4.5 หมื่นล้านบาทต่อวัน
ปัจจัยที่หนุนให้ต่างชาติเข้ามารอบนี้ มีการวิเคราะห์ว่ามาจากทั้งปัจจัยภายในและภายนอก
เริ่มจากภายนอกก่อน คือ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เมื่อปรับขึ้นมายังจุดหนึ่ง ทำให้ถูกประเมินว่า หุ้นสหรัฐฯ อาจจะเริ่มมีความเสี่ยงชะลอตัวบ้างแล้วจากสงครามการค้า
ทำให้นักลงทุนต้องการกระจายเม็ดเงินลงทุนไปยังตลาดที่พอจะ “พักเงิน” ได้
จึงกลับมาโฟกัสตลาดหุ้นที่เป็น Emerging Marketกันอีกครั้ง
ช่วงที่ผ่านมาเงินหลายประเทศทางเอเชียแข็งค่าขึ้น รวมถึงประเทศไทย จากกระแสเงินที่เข้ามายังในภูมิภาค ทั้งในตลาดตราสารหนี้ และตลาดหุ้น
ส่วนตลาดหุ้นไทย ถูกมองว่า มูลค่าที่ปรับลงมาก่อนหน้านี้ค่อนข้างถูก
และที่สำคัญ หลายหุ้นให้อัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่ดี เฉลี่ยเกินกว่า 5%ทำให้ต่างชาติ เลือกที่จะมา “พักเงิน” ทั้งเพื่อกระจายความเสี่ยงและสร้างโอกาสผลตอบแทนไปพร้อม ๆ กัน
ขณะเดียวกันหลังจากประเทศในเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น ฟิลลิปปนส์ อินโดนีเซีย เวียดนาม เจรจาเรื่องภาษีการค้ากับสหรัฐฯ แล้วเสร็จ โดยมีค่าเฉลี่ยของภาษีระดับ 20%บวก/ลบเล็กน้อยแตกต่างกันไป
ทำให้ในส่วนของประเทศไทยถูกประเมินว่า ฐานภาษีที่ทางสหรัฐฯ จะเคาะออกมา น่าจะอยู่ในช่วงเดียวกันเช่นกัน
กลับมาสู่คำถามว่า แล้วต่างชาติเข้ามารอบนี้ แรลลี่หรือจะซื้อแบบต่อเนื่องหรือไม่
คำตอบคือ เมื่อหุ้นขึ้นมาระดับหนึ่ง หรือมีความเหมาะสมกับภาวะตลาด และเศรษฐกิจของประเทศไทย เราอาจจะเริ่มเห็น “แรงขายทำกำไร”
เหตุผลเพราะเศรษฐกิจของไทยยังไม่ได้กลับเข้าสู่การฟื้นตัวที่แข็งแกร่ง
ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ซึ่งทางนักวิเคราะห์แต่ละโบรกเกอร์ ก็ยังไม่ได้ปรับมุมมอง หรือคาดการณ์ออกมาเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญ
ดังนั้น สิ่งที่ต้องระวัง คือ “การปรับฐาน”โดยเฉพาะหุ้นที่พาดัชนีขึ้นมาในรอบล่าสุดนี้
ส่วนกลุ่มหุ้นที่ต่างชาติเข้ามาเก็บขณะนี้ เช่น กลุ่มพลังงาน กลุ่มค้าปลีก กลุ่มท่องเที่ยว และกลุ่มบรรจุภัณฑ์
อาจจะมีคำถามเพิ่มว่า ทำไมนักลงทุนสถาบันวันก่อนหน้านี้ขายสุทธิออกมา (2,277 ล้านบาท) และวานนี้ไม่ได้ซื้อมากนัก หรือเพียง 194 ล้านบาท
ตรงนี้เข้าใจว่า น่าจะเป็นแรงขายจากกองทุนรวมหุ้นระยะยาว หรือ LTFที่ยังค้างอยู่ในตลาดกว่า 1.1 แสนล้านบาท โดยผู้ถือหน่วยลงทุน น่าจะมีการสั่งให้กองทุนขายออกในช่วงที่ตลาดปรับตัวขึ้นมา
และนี่น่าจะเป็นอีกเหตุผลทำให้ดัชนีขึ้นมาครั้งนี้ อาจไม่ได้ไปไกลมากนัก