เปิดมุมมอง 4 แบงก์ ฟันธง “ดอกเบี้ย” ประชุม “กนง.”
น.ส.รุ่ง สงวนเรือง ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวางแผนโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) ประเมินว่า การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในรอบวันที่ 13 ส.ค.นี้ มีโอกาสที่จะเห็น กนง.มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงได้ 0.25% มาอยู่ที่ระดับ 1.50%
เนื่องจากปัจจุบัน มีหลายปัจจัยที่ทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจไทย ยังขาดแรงขับเคลื่อน เช่น ภาคการท่องเที่ยวที่เริ่มแผ่วลง ภาคการส่งออกที่เผชิญอุปสรรคจากมาตรการกีดกันทางการค้าในระยะข้างหน้า, อัตราเงินเฟ้อติดลบต่อเนื่อง ทำให้ดอกเบี้ยที่แท้จริงอยู่ในระดับสูง, ภาวะทางการเงินตึงตัว, ความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศสูงขึ้น
พร้อมระบุว่า แม้แนวโน้มหลักของอัตราดอกเบี้ยนโยบายในไทยจะเป็นขาลง แต่ยอมรับว่า ยังมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับจังหวะเวลาที่จะปรับลดดอกเบี้ย ซึ่งหาก กนง. เลือกที่จะคงดอกเบี้ยไว้ในรอบนี้ โดยอ้างเหตุผลว่าอัตราภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal tariffs) ที่สหรัฐฯ เรียกจากสินค้าไทยที่นำเข้า อยู่ในระดับใกล้เคียงกับที่เคยตั้งสมมติฐานไว้ (18%)
และ กนง. อาจต้องการรักษาพื้นที่การทำนโยบายการเงิน (เก็บกระสุน) เพื่อให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด ก็อาจมีความเป็นไปได้ที่จะเห็น กนง. ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในรอบการประชุมอีก 2 ครั้งที่เหลือของปีนี้ คือ 8 ต.ค. และ 17 ธ.ค. 68 ซึ่งจะทำให้ ณ สิ้นปี 68 อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย จะอยู่ที่ระดับ 1.25%
อย่างไรก็ดี อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย ที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี ได้สะท้อนความคาดหวังการปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย และเศรษฐกิจที่มีทิศทางขยายตัวต่ำ ท่ามกลางหลากหลายความเสี่ยง
นายอมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย (CIMBT) ระบุว่า ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจไทยที่กำลังเผชิญแรงกดดันหลายด้าน ทั้งเงินเฟ้อต่ำลากยาว เศรษฐกิจขยายตัวต่ำ และความเสี่ยงด้านเครดิตที่สูงขึ้น จึงมีโอกาสที่มติ กนง.รอบวันที่ 13 ส.ค.นี้ จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% มาอยู่ที่ระดับ 1.50% ได้
ทั้งนี้มองว่า เหตุผลที่ กนง.ควรปรับลดอัตราดอกเบี้ย เนื่องจาก 1.เงินเฟ้อต่ำต่อเนื่อง โดยเงินเฟ้อทั่วไป (CPI) ต่ำกว่ากรอบเป้าหมายที่ ธปท.กำหนดไว้ที่ระดับ 1-3% ซึ่งปัจจุบันเงินเฟ้อเฉลี่ย 7 เดือนแรกปีนี้ (ม.ค.-ก.ค.68) อยู่ที่เพียง 0.21% โดยเงินเฟ้อล่าสุดเดือนก.ค.68 อยู่ที่ -0.70% ซึ่งเป็นการหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 สะท้อนอุปสงค์ในประเทศที่ยังไม่ฟื้นตัว
2. เศรษฐกิจอ่อนแรง อันเนื่องจากกำลังซื้อของประชาชนยังอ่อนแอ ภาคการผลิตซบเซา และภาคก่อสร้างทรุดหนัก 3. สินเชื่อหดตัว ธนาคารพาณิชย์ระมัดระวังการปล่อยกู้มากขึ้น เพราะความเสี่ยงด้านเครดิตสูง ทำให้เงินไหลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจน้อยลง และ 4. ภาษีสหรัฐฯ ที่เรียกเก็บกับสินค้านำเข้าจากไทยที่อัตรา 19% แม้จะต่ำกว่าคาด แต่เชื่อว่ายังมีผลกระทบ โดยเฉพาะต่อภาคส่งออกไทย ที่ต้องไม่ชะล่าใจ
อย่างไรก็ดี ก็มีโอกาสที่ กนง.ยังไม่ตัดสินใจลดดอกเบี้ยในครั้งนี้ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะใช้เหตุผลว่าเศรษฐกิจกำลังฟื้น ส่วนเงินเฟ้อต่ำมาจากปัจจัยด้านอุปทาน และมองไปข้างหน้ายังมีความไม่แน่นอนสูง จึงอยากรอใช้มาตรการดอกเบี้ยเมื่อมีความชัดเจน และจำเป็นมากกว่านี้ หรือเก็บ policy space ไว้ก่อน โดยใช้ตอนหลังจะมีประสิทธิภาพสูงกว่า
ซึ่งนายอมรเทพ มองว่า ถ้าลดดอกเบี้ยช้าเกินไป อาจต้องลดแรงกว่าที่จำเป็นในอนาคต ดังนั้น ขณะนี้ถึงเวลาที่นโยบายการเงินต้องออกแรงช่วยเศรษฐกิจไทยแล้ว
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย (KTB) ประเมินว่า ในการประชุม กนง.รอบวันที่ 13 ส.ค.นี้ คาดว่า กนง. จะมีมติไม่เป็นเอกฉันท์ 6 ต่อ 1 เสียง ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 1.75% ตามเดิม เนื่องจากผลการเจรจาการค้า กรณีภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal tariffs) ในกรณีที่จะเรียกเก็บจากสินค้าไทยที่นำเข้าในสหรัฐฯ ในอัตราที่ 19% ซึ่งถือว่าได้ผลลัพธ์ที่ใกล้เคียงกับอัตราภาษี 18% ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้เคยตั้งสมมติฐานไว้ ทำให้ไม่จำเป็นที่ กนง.จะต้องเร่งลดดอกเบี้ยลงในการประชุมรอบนี้
พร้อมมองว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายในปัจจุบัน ที่ระดับ 1.75% แม้จะมีความผ่อนคลายขึ้นมาก ตามการทยอยลดดอกเบี้ยของ กนง. ในช่วงที่ผ่านมา แต่แนวโน้มเศรษฐกิจไทย และระดับศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจที่แย่ลงอย่างชัดเจน ก็ควรได้แรงหนุนจากนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น
นายพูน ประเมินว่า ภายใต้การบริหารงานของ นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการ ธปท.คนใหม่ ซึ่งจะเข้าดำรงตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.68 นั้น อาจทำให้ได้เห็นการเริ่มเดินหน้าปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ควบคู่ไปกับการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน ด้วยการช่วยเหลือลูกหนี้ด้วยนโยบายหรือมาตรการที่มีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้น เพื่อช่วยบรรเทาภาระหนี้ให้กับภาคเอกชน และครัวเรือน
โดยมองว่า มีโอกาสที่จะเห็นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ณ สิ้นปี 68 มาอยู่ที่ระดับ 1.25% ซึ่งหมายความว่าในช่วง 5 เดือนที่เหลือของปีนี้ ซึ่งจะมีการประชุม กนง. อีก 3 ครั้ง คือรอบวันที่ 13 ส.ค., 8 ต.ค. และ 17 ธ.ค. มีโอกาสที่จะเห็นการลดดอกเบี้ยลงได้ถึง 2 ครั้ง ซึ่งต้องรอดูนโยบายจากผู้ว่าการ ธปท.คนใหม่ รวมถึงทิศทางเศรษฐกิจไทยในระยะถัดไปอย่างใกล้ชิด
นายกอบสิทธิ์ ศิลปชัย ผู้บริหารงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ประเมินว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) รอบวันที่ 13 ส.ค.นี้ กนง.จะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ระดับเดิมที่ 1.75% เช่นเดียวกันการประชุมครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 25 มิ.ย.68
เนื่องจากมองว่าขณะนี้ประเทศไทยเผชิญความเสี่ยงที่ลดลง โดยเฉพาะความเสี่ยงสำคัญจากภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ของสหรัฐฯ หลังจากที่ไทยได้มีข้อตกลงกับสหรัฐฯ ที่อัตรา 19% ตามคาด จากเดิมที่สหรัฐฯ ประกาศจะเรียกเก็บในอัตรา 36% เมื่อต้นเดือนเม.ย. และได้รับการผ่อนผันการปรับขึ้นภาษีมาเป็นเดือนส.ค.68
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- หุ้นไทยไปต่อหรือพักฐาน! ฟันด์โฟลว์ไหลเข้าดันดัชนีดีดขึ้นกว่า 200 จุด ตัวไหนปลอดภัย เช็กเลย?
- กนง.ลดดอกเบี้ยหรือไม่ ! หลังเงินเฟ้อหลุดกรอบ-ภาษี "ทรัมป์" ฉุดเศรษฐกิจ
- หุ้นไทยวันนี้ 8 สิงหาคม 2568 ลดลง 6.08 จุด จับตาผลประชุมกนง.
- แรงงานต่างด้าวในไทย เหลือแค่ไหน ชาวกัมพูชาเหลือเท่าไหร่
- พาณิชย์สหรัฐฯ คาด "ภาษีทรัมป์" โกยเงินเข้าประเทศพุ่ง 5 หมื่นล้านเหรียญต่อเดือน