ปชช.กังวล ระบบภาษีใหม่ “Negative Income Tax” เป็นภาระมากกว่าโอกาส
ปชช.กังวล ระบบภาษีใหม่ “Negative Income Tax” คนไทยต้องยื่นภาษีทุกคน ชี้ เป็นภาระมากกว่าโอกาส
วันที่ 16 ส.ค. 68 ประเทศไทยกำลังจะก้าวเข้าสู่การปฏิรูปภาษีครั้งสำคัญ นั่นคือ Negative Income Tax ภายหลัง “ลวรณ แสงสนิท” ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวถึงแผนยุทธศาสตร์ของกระทรวงการคลัง ภายใต้การจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ คือ การเปิดเผยถึงความคืบหน้าการเชื่อมโยงข้อมูลพัฒนาฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Data Lake) 10 หน่วยงาน เพื่อนำไปสู่การออกแบบนโยบายสวัสดิการในลักษณะ Negative Income Tax ให้กับคนไทย วางเป้าหมายให้สามารถเริ่มใช้ได้ปี 2570 ผ่านหลักการเริ่มต้นสำคัญ โดยทุกคนต้องเข้าสู่ระบบภาษี เพื่อยืนยันรายได้ หากรายได้ไม่ถึงเกณฑ์ จึงจะได้รับสวัสดิการ
นโยบายใหม่ระบุชัด ไม่ว่าคุณจะเป็นพนักงานประจำ ฟรีแลนซ์ หรือแม่ค้าร้านเล็ก ๆ ทุกคน ‘ต้องเข้าระบบภาษี’ แต่ไม่ต้องกังวล หากรายได้ไม่ถึงเกณฑ์ ภาครัฐจะคืนเงินภาษีให้
ผู้สื่อข่าว The Room44 ลงพื้นที่พูดคุยกับพ่อค้าแม่ค้า เพื่อสอบถามถึงความคิดเห็นในการยื่นภาษีด้าน “คุณอัง เจ้าของร้านอาหารและฟรีแลนซ์”ให้ความเห็นต่อการจัดเก็บภาษีแบบใหม่ว่า แม้ตนเองจะเป็นฟรีแลนซ์และยื่นภาษีมาโดยตลอด แต่เมื่อเปรียบเทียบกับประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะพ่อค้าแม่ค้ารายย่อยหรือผู้สูงอายุที่ไม่คุ้นเคยกับระบบภาษี ย่อมเป็นเรื่องที่ไม่สะดวกและอาจสร้างความลำบากได้
เธอยังอธิบายว่า “ พ่อค้าแม่ค้าส่วนใหญ่คุ้นเคยกับการใช้เงินสด และไม่เคยผ่านระบบบัญชีมาก่อน หากต้องปรับเข้าสู่ระบบดิจิทัลจะยิ่งซับซ้อนขึ้น อีกทั้งแม้ตนเองที่ยื่นภาษีทุกปี ยังพบปัญหาความผิดพลาดและต้องจัดหาเอกสารเพิ่มเติมเสมอ ซึ่งถือว่าเป็นขั้นตอนที่ยุ่งยากอยู่แล้วสำหรับคนทั่วไป ”
อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลสามารถออกมาตรการให้ประชาชนยื่นภาษีได้โดยไม่ซับซ้อน และมีการชดเชยหรือคืนเงินให้กับผู้มีรายได้ไม่ถึงเกณฑ์ตามที่ประกาศจริง ก็ถือเป็นเรื่องที่ดีและน่าจะช่วยสร้างความเชื่อมั่น แต่หากไม่สามารถทำได้จริง เช่นโครงการที่เคยล้มเหลวในอดีต ก็อาจสร้างความไม่พอใจและความไม่ไว้วางใจจากประชาชนมากกว่าเดิม
ขณะเดียวกัน “คุณเจน พนักงานบริการ” ที่แสดงความกังวลต่อระบบภาษีใหม่ โดยมองว่ามีความซับซ้อนเกินไปสำหรับประชาชนฐานราก โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อยที่ไม่คุ้นชินกับการเข้าระบบหรือการยื่นเอกสารต่าง ๆ
คุณเจน กล่าวว่า ปัจจุบันแม้เพียงการติดต่อราชการในระดับท้องถิ่นอย่างองค์การบริหารส่วนตำบลหรือเทศบาล ก็ยังถือว่ายุ่งยากสำหรับชาวบ้านทั่วไป หากต้องปรับตัวเข้าสู่ระบบภาษีใหม่ที่ซับซ้อนกว่าเดิม ยิ่งอาจเป็นภาระหนักเกินไป
“สำหรับคนจน แค่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากไปกว่านี้”
พร้อมทั้งตั้งข้อสังเกตว่า แม้ภาครัฐจะยืนยันว่าจะมีการชดเชยหรือคืนเงินให้ผู้ที่มีรายได้ไม่ถึงเกณฑ์ แต่ในความเป็นจริงยังไม่มีความชัดเจนว่ามาตรการดังกล่าวจะทำได้จริงหรือไม่
นอกจากนี้ ยังย้ำว่า ก่อนที่จะบังคับให้ประชาชนทุกกลุ่มเข้าระบบภาษี รัฐควรเริ่มจากการจัดการปัญหาพื้นฐานในระดับชุมชนและหมู่บ้านให้เรียบร้อยเสียก่อน เพื่อให้คนทั่วไปเข้าถึงระบบได้อย่างเข้าใจและไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
แม้นโยบาย “ภาษีใหม่” จะถูกออกแบบมาเพื่อสร้างความโปร่งใส และขยายฐานภาษีให้ครอบคลุมทุกกลุ่ม แต่เสียงสะท้อนจากประชาชนสะท้อนชัดว่า ความยุ่งยากในขั้นตอนและความไม่มั่นใจต่อมาตรการชดเชย อาจกลายเป็นอุปสรรคสำคัญ
คำถามจึงอยู่ที่ว่า รัฐบาลจะสามารถทำให้ระบบนี้ “ง่ายจริง–เข้าถึงได้จริง” สำหรับคนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะประชาชนฐานรากได้เพียงใด เพราะหากทำได้สำเร็จ นี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างวัฒนธรรมภาษีใหม่ที่โปร่งใสและยั่งยืน แต่หากทำไม่สำเร็จ ก็อาจกลายเป็นอีกหนึ่งนโยบายที่เพิ่มความเหลื่อมล้ำ และสร้างความไม่ไว้วางใจจากสังคมมากขึ้นกว่าเดิม