เขมร เขียนจดหมายฟ้อง UNSC และ UN กล่าวหากองทัพไทยยังคงละเมิดข้อตกลงหยุดยิงและรุกล้ำอธิปไตยของเขมรอย่างต่อเนื่อง
(12 ส.ค. 68) Fresh News สื่อกัมพูชา รายงานว่า นายชุม ซุนรี โฆษกกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา กล่าวในการแถลงข่าวเมื่อวันอังคาร ว่า “รองนายกรัฐมนตรี นายปรัก สุคน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศ ได้เขียนจดหมายแยกต่างหากถึงประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติและเลขาธิการสหประชาชาติ เพื่อแจ้งให้ทราบถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากการสงบศึกที่เปราะบางอย่างยิ่งระหว่างกัมพูชาและไทยในขณะนี้”
ในจดหมายทั้งสองฉบับ ลงวันที่ 11 สิงหาคม 2568 รองนายกรัฐมนตรี ปรัก สุคน กล่าวว่า ดังที่ท่านทราบดี กัมพูชาและไทยได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิงในการประชุมสมัยพิเศษที่มาเลเซียเป็นเจ้าภาพเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ข้อตกลงดังกล่าวได้ช่วยชีวิตผู้คนจำนวนมากและมอบความหวังให้กับผู้พลัดถิ่นหลายหมื่นคน ทำให้เกิดความคาดหวังว่าพวกเขาจะได้กลับบ้านเกิดในเร็วๆ นี้ และตั้งตารอที่จะเจริญรุ่งเรืองในสันติภาพและความสามัคคีที่ยั่งยืน เราขอขอบคุณคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติอย่างสุดซึ้งที่ได้จัดการประชุมเร่งด่วนเพื่อหารือเกี่ยวกับความขัดแย้งทางอาวุธระหว่างกัมพูชาและไทยในวันที่ 25 กรกฎาคม 2568 ซึ่งช่วยส่งเสริมการพัฒนาเชิงบวกนี้” โฆษกกล่าวเสริม
เขากล่าวต่อว่า “กองทัพไทยยังคงละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของกัมพูชาอย่างต่อเนื่อง ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศและข้อตกลงทวิภาคีที่มีผลผูกพัน รวมถึงเงื่อนไขของการหยุดยิงที่ตกลงกันไว้ นับตั้งแต่การหยุดยิงที่ตกลงกันไว้มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 กองทัพไทยได้รุกล้ำเข้ามาในดินแดนกัมพูชาหลายครั้ง พวกเขาได้วางลวดหนามอย่างผิดกฎหมายและก่อสร้างในหลายพื้นที่”
นายชุม ซุนรี กล่าวว่า “กองกำลังไทยได้รุกล้ำและยกระดับกิจกรรมในพื้นที่อันเซห์ จังหวัดพระวิหารอย่างผิดกฎหมาย ตั้งแต่การวางลวดหนามไปจนถึงการทำลายบ้านเรือนชาวบ้านชาวกัมพูชา และใช้เครื่องจักรกลหนักสร้างป้อมปราการ”
รองนายกรัฐมนตรี ปรัก สุคน เน้นย้ำว่าสถานะของการละเมิดแต่ละกรณีและทั้งหมดนี้อยู่ในอาณาเขตของราชอาณาจักรกัมพูชาทั้งหมด ตามที่กำหนดและจำกัดขอบเขตโดยแผนที่มาตราส่วน 1 ใน 200,000 ที่จัดทำโดยคณะกรรมาธิการผสมฝรั่งเศส-สยาม ตามอนุสัญญาลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1904 และสนธิสัญญาลงวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 1907 แผนที่เหล่านี้ ซึ่งรัฐบาลกัมพูชาและไทยยอมรับร่วมกัน ถือเป็นตัวกำหนดอย่างชัดเจนในคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน ค.ศ. 1962 และ 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 2013 ในคดีปราสาทพระวิหาร ทั้งที่ถือเป็นที่สุดและมีผลผูกพันตามมาตรา 60 แห่งธรรมนูญศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ และมาตรา 94 แห่งกฎบัตรสหประชาชาติ
นายชุม ซุนรี กล่าวว่า รัฐบาลกัมพูชาเรียกร้องให้รัฐบาลไทยและกองกำลังติดอาวุธดำเนินการดังต่อไปนี้ ประการแรก ยุติการบุกรุก การยึดครองโดยผิดกฎหมาย และกิจกรรมใดๆ ก็ตามที่ละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของกัมพูชาทันที ประการที่สอง ถอนกำลังทหารและยุทโธปกรณ์ของไทยทั้งหมดไปยังตำแหน่งที่สอดคล้องกับเขตแดนที่กฎหมายกำหนดอย่างสมบูรณ์ และประการที่สาม ปฏิบัติตามข้อผูกพันทวิภาคีและระหว่างประเทศอย่างสมบูรณ์และไม่มีเงื่อนไข0 % สร้างความซาบซึ้งใจให้กับครอบครัว อส.ทพ.ประวิทย์ ด้วยใจเฝ้ารอวันที่สร้างเสร็จสมบูรณ์