โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

ไทย-เขมร ร้าวลึกถึงกระดูก ฟื้นสัมพันธ์ยาก !?

Manager Online

เผยแพร่ 3 ชั่วโมงที่ผ่านมา • MGR Online

เมืองไทย 360 องศา

เพจ “ทีมโฆษกกองทัพบก” โพสต์ข้อความว่า “เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2568 เวลาประมาณ 09.10 น. กองทัพบกได้รับรายงานว่า หน่วยทหารพรานร้อย.ทพ.2610 ปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนในพื้นที่บริเวณปราสาทตาเมือนธม อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ได้เกิดเหตุระเบิดขึ้น ส่งผลให้กำลังพลได้รับบาดเจ็บสูญเสียขา 1 นาย ขณะนี้ได้ลำเลียงส่งโรงพยาบาลเพื่อรับการรักษาแล้ว

พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวถึงเหตุการณ์ เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2568 เวลาประมาณ 09.10 น. สิบเอก ธีรพล เพียขันที สังกัดกองร้อยทหารพรานที่ 2610 พร้อมกำลังพลรวม 7 นาย ปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนตามแนวชายแดนไทย บนเส้นทางประจำ ห่างจากปราสาทตาเมือนธม จังหวัดสุรินทร์ ประมาณ 1 กิโลเมตร ระหว่างปฏิบัติภารกิจ สิบเอก ธีรพลฯ ได้เหยียบทุ่นระเบิดสังหารบุคคลที่ฝ่ายกัมพูชาลอบวางไว้ ส่งผลให้ได้รับบาดเจ็บสาหัสบริเวณข้อเท้าซ้าย ปัจจุบันได้รับการรักษาที่โรงพยาบาลพนมดงรัก อาการพ้นขีดอันตรายแล้ว

เหตุการณ์นี้เป็นหลักฐานชัดเจนว่าฝ่ายกัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง และไม่เคารพต่อกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอนุสัญญาออตตาวา ซึ่งห้ามใช้และวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลทุกชนิด นับเป็นการลอบโจมตีที่มีเป้าหมายต่อกำลังพลฝ่ายไทยโดยตรง และเกิดขึ้นในเขตแดนไทย

ยิ่งไปกว่านั้น เหตุลักษณะเดียวกันนี้เคยเกิดขึ้นหลายครั้งในพื้นที่ชายแดน สะท้อนถึงเจตนาร้ายและพฤติกรรมต่อเนื่องของฝ่ายกัมพูชาในการคุกคามฝ่ายไทย และละเมิดบูรณภาพแห่งดินแดนไทย สวนทางกับข้อตกลงหยุดยิงระหว่างประเทศในการประชุม GBC ที่ผ่านมา จึงเป็นเครื่องยืนยันได้ว่า การใช้อาวุธโดยฝั่งกัมพูชายังคงมีอยู่ตลอดเวลาในช่วงมีข้อตกลงหยุดยิง

พล.ต.วินธัย กล่าวว่า พฤติกรรมและการกระทำลักษณะเช่นนี้ย่อมเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการในมาตรการหยุดยิงอย่างแน่นอน รวมถึงเป็นท่าทีที่ชัดเจนว่าฝ่ายกัมพูชาต้องการจะคุกคามฝ่ายไทย ด้วยการใช้อาวุธทางทหารในรูปแบบซ้อนเร้นไม่เปิดเผย ทำให้เชื่อได้ว่ากัมพูชายังคงดำรงความมุ่งหมายที่จะทำร้ายฝ่ายไทยด้วยรูปแบบลอบทำร้ายอยู่เช่นนี้ตลอดเวลา ถึงแม้ว่า ณ ช่วงเวลานี้จะอยู่ในช่วงการตกลงที่จะหยุดยิง ซึ่งต้องไม่มีการใช้อาวุธต่อกันในทุกรูปแบบ

นอกจากนี้สิ่งที่เกิดขึ้นยังสอดรับกันอย่างเป็นระบบโดยเฉพาะจากการที่กัมพูชาไม่ยอมตอบรับข้อเสนอฝ่ายไทย ในเรื่องของทุ่นระเบิดจากการประชุม GBC ในครั้งที่ผ่านมา จึงเชื่อว่าเรื่องทุ่นระเบิดนี้น่าจะมีการวางแผนใช้กันมาอย่างเป็นระบบเพื่อเจตนานำมาใช้คุกคามทำร้ายฝ่ายไทย

ซึ่งที่ผ่านมากองทัพบกได้ยึดมั่นในแนวทางสันติวิธีมาโดยตลอด และไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มก่อน แต่หากสถานการณ์บีบบังคับก็อาจจำเป็นต้องใช้สิทธิ์ในป้องกันตนเองภายใต้หลักกฎหมายระหว่างประเทศในการคลี่คลายสถานการณ์ที่ทำให้ฝ่ายไทยต้องสูญเสียกำลังพลอย่างต่อเนื่อง จากการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงและรุกล้ำอธิปไตยของทหารกัมพูชา

อย่างไรก็ดี เวลา 07.00 น.วันที่ 12 สิงหาคม นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และคณะกรรมการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา (ศบ.ทก.) เปิดเผยว่า ตั้งแต่ช่วงค่ำของวันจันทร์ที่ 11 สิงหาคม 2568 จนถึงเช้าวันอังคารที่ 12 สิงหาคม 2568 เหตุการณ์บริเวณพื้นที่ชายแดนไทย – กัมพูชา 7 จังหวัด ไม่มีเหตุปะทะหรือความรุนแรงเกิดขึ้น

ทั้งนี้ กองกำลังของทั้ง 2 ฝ่าย ยังคงวางกำลังตามแนวที่มั่นของตน โดยฝ่ายไทยยึดมั่นปฏิบัติตามข้อตกลงของการประชุม GBC ที่ผ่านมาอย่างเคร่งครัด และมุ่งมั่นรักษาความสงบเป็นสำคัญ

ขณะเดียวกัน ประชาชนที่เคยอาศัยอยู่ในศูนย์อพยพทั้ง 4 จังหวัด ได้เดินทางกลับภูมิลำเนาเรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตาม หากประชาชนพบพื้นที่ที่ยังไม่ปลอดภัยหรือพบวัตถุต้องสงสัย ขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจ หมายเลข 191 เพื่อประสานหน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิดเข้าดำเนินการ

“ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของรัฐบาลยังคงปฏิบัติหน้าที่อย่างแข็งขัน เพื่อรักษาความสงบและอธิปไตยของไทย พร้อมดูแลและเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ตลอดจนเร่งฟื้นฟูพื้นที่ทั้งในด้านเศรษฐกิจและสังคม เพื่อให้กลับมาเดินหน้าต่อได้เหมือนเดิม“ นายจิรายุ กล่าว

แน่นอนว่าหลังเกิดเหตุดังกล่าวครั้งล่าสุดที่หทารไทยเยียบทุนระเบิดของกัมพูชา ลอบวางเอาไว้ ทำให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บขาขาดไปอีกหนึ่งนาย ยิ่งทำให้เกิดอารมณ์โกรธเกรี้ยวกับคนไทยมากขึ้นไปอีก เพราะนั่นเท่ากับว่า เป็นการตอกย้ำคำว่า “เขมรคบไม่ได้” ซ้ำเข้าไปอีก ซึ่งจะว่าไปแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชา โดยเฉพาะระหว่างประชาชนต่อประชาชนนั้นถือว่าเข้าขั้น “เสื่อมทราม” ลงอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุปะทะมานานนับปีๆแล้ว โดยเฉพาะใน “โลกโซเชียล” ที่เกิดการปะทะกันมาอย่างต่อเนื่อง และสิ่งที่คนไทยต้องอารมณ์เสียมาตลอดก็คือ การที่คนกัมพูชา “ชอบเคลม” ในแทบทุกเรื่องว่ามีที่มาหรือรากเหง้ามาจากเขมร ตั้งแต่ยุคโบราณ และการเคลมดังกล่าวยังไม่ได้จำกัดเฉพาะในประเทศไทย ยังขยายออกไปกับแทบทุกชนชาติ ราวกับว่า “เขมรเป็นจุดศูนย์กลางของจักรวาล” อะไรประมาณนั้น

แต่สิ่งสำคัญที่ทำให้เกิดอารมณ์โกรธขึ้นมาอย่างต่อเนื่องก็คือ การที่กัมพูชาเป็นประเทศยากจน ยังต้องพึ่งพาความช่วยแทบจะทุกอย่างจากประเทศอื่น รวมไปถึงประเทศไทย และด้วยอารมณ์โกรธดังกล่าวจึงเหยียดหยามออกมาว่า เป็น “ประเทศขอทาน” คือขอไปทุกอย่าง

นอกเหนือจากนี้สมญานามอีกอย่างที่ถูกนำมาเปรียบเทียบให้เห็นภาพก็คือ เป็นพวกที่ “ทรยศหักหลัง” ได้ทุกเวลาหากมีโอกาส จนมองว่า “คบไม่ได้” มีการยกเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์เป็นพวกลูกหลาน “พระยาละแวก” ขึ้นมาอย่างเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ แต่เอาเป็นว่านั่นคือความหมายสะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์และความเกลียดชังระหว่างกันมาอย่างต่อเนื่อง และคงยากที่จะจางหายลงไปง่ายๆ

หากพิจารณากันตามรูปการณ์แล้ว มั่นใจได้เลยว่าความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชา จะไม่มีทางกลับมาเหมือนเดิมอีกแล้ว โดยเฉพาะความรู้สึกของคนไทยที่จะไม่มีความรู้สึกเมตตาใจดีกับพวกเขาอีกต่อไป แม้ว่าจะไม่ถึงขั้นต้องจงเกลียดจงชัง แต่จากพฤติกรรมของกัมพูชา โดยเฉพาะผู้นำ คือ นายฮุน เซน ที่ทำกับไทยได้อย่างเจ็บแสบตลอดเวลา

ขณะเดียวกันยังลุกลามเพิ่มความเกลียดชังไปถึง “ครอบครัวชินวัตร” ที่นำโดย นายทักษิณ ชินวัตร ที่ถูกมองว่าเข้าไปมีผลประโยชน์ในประเทศนั้นมานาน ตั้งแต่ยุค “เผาสถานทูตไทย” ในอดีตเรื่อยมา ที่ตอนนั้นว่ากันว่า ธุรกิจของ นายทักษิณ เสียหายหนัก จนมีความโกรธ และในฐานะนายกรัฐมนตรีมีการส่งกำลังทหารเข้าไปช่วยคนไทย แต่ในเวลาต่อมาเมื่อมีการเคลียร์ มีการชดใช้ค่าเสียหายจนพอใจ กลายมาเป็น “เพื่อนรู้ใจ” มีความสัมพันธ์ใกล้ชิด แต่ในที่สุดก็แตกคอกันจากสาเหตุที่คนไทยเข้าใจกันดี ว่าเป็นเพราะผลประโยชน์ขัดกัน และทำให้คนไทยได้ตาสว่างนั่นแหละ

แต่สำหรับนาทีนี้ หากพูดกันถึงความสัมพันธ์ระหว่างสองชาติ มั่นใจได้เลยว่าไม่มีทางกลับมาเป็นปกติ อย่างมากก็แค่ “ต่างคนต่างอยู่” ไม่จำเป็นก็ไม่ต้องไปมาหาสู่ ความช่วยเหลือต่างๆที่เคยให้กันมาก็ต้องระงับ เพราะพิจารณาแล้วมันก็ไม่มีประโยชน์ เพราะพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า พวกเขาไม่ได้มองไทยเป็นมิตร และช่วยเหลือเขา ดังนั้นเมื่อยกแผ่นดินหนีจากกันไม่ได้ ก็ “ต่างคนต่างอยู่” แล้วกัน !!

website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก Manager Online

ออร่าจับ! “กิ๊ฟ MUTนครศรีฯ” คว้ารางวัล “Queen of Thai Silk”

56 นาทีที่แล้ว

ใครทันบ้างยกมือ? AOL ยักษ์ใหญ่สหรัฐฯประกาศยกเลิกบริการอินเตอร์เน็ตแบบต่อโมเด็มที่เคยเฟื่องฟูสุดขีดยุค 90

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

เดินเล่นพระนคร นอน “บ้านตึกดิน” ชิมเมนูอร่อยบนถนนดินสอ

2 ชั่วโมงที่ผ่านมา

น่าเอ็นดูเกิ๊น!! สื่อผู้ดีฮือฮาจนเป็นไวรัล "น้องเหมียวไทย" โดนตำรวจจับข้อหาทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานเจอพิมพ์มือ-ถ่ายรูปหน้าตรง

3 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความทั่วไปอื่น ๆ

‘หนุ่มไนจีเรีย’ ลอบเผ่นเข้าไทยอ้างอยู่ ‘เขมร’ ไม่ไหว จ่ายนายหน้า 400 เหรียญ ถูกหิ้วปล่อยไร่อ้อย

เดลินิวส์
วิดีโอ

ทหารแนวหน้า อัดคลิปสุดพิเศษ ถึงคนข้างหลัง ไม่ต้องห่วงอะไร ทุกคนคือนักสู้ จะกลับไปด้วยความภาคภูมิใจ

BRIGHTTV.CO.TH

ชัวร์ก่อนแชร์: Epstein Files คือแผนลวงโลกของเดโมแครต จริงหรือ?

สำนักข่าวไทย Online

ชัวร์ก่อนแชร์: Epstein Files คือแผนลวงโลกของเดโมแครต จริงหรือ?

ชัวร์ก่อนแชร์

กองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิ เข้าประจำการในวอชิงตัน ดี.ซี.ปราบปรามอาชญากรรม

JS100

2 ปี ‘คดีชั้น 14’ กว่าความจริงจะปรากฏ!!

ไทยพับลิก้า

ใครทันบ้างยกมือ? AOL ยักษ์ใหญ่สหรัฐฯประกาศยกเลิกบริการอินเตอร์เน็ตแบบต่อโมเด็มที่เคยเฟื่องฟูสุดขีดยุค 90

Manager Online

สหประชาชาติ เผยกองทัพเมียนมามีแนวโน้มใช้ความรุนแรงต่อผู้ต้องสงสัยมากขึ้น

JS100

ข่าวและบทความยอดนิยม

“บิ๊กเล็ก” ประณามเขมรวางทุ่นระเบิด ผิดอนุสัญญาออตตาวา จี้รัฐภาคีหยุดให้เงินบริจาค เหตุไร้ความจริงใจ

Manager Online

“เสธ.ต๊อด“ โต้ ”มาลี" หลักฐานชัดวางทุ่นระเบิดใหม่ ยังจะปฏิเสธว่าเป็นของเก่า จี้หยุดแพร่ความเท็จ

Manager Online

รัฐบาลรับมอบบ้านน็อคดาวน์ 11 หลัง มูลค่า 2.6 ล้าน จาก “ทักษิณ” ช่วยผู้ประสบภัยชายแดนไทย–กัมพูชา

Manager Online
ดูเพิ่ม
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...