“เหตุแห่งความสัมพันธ์ส่วนตัว” เปิดคำร้อง สว. ยื่นศาลรัฐธรรมนูญถอดถอนแพทองธาร ต้นตอคลิปเสียงคุย ‘ฮุน เซน’
ผ่านมา 45 วันแล้ว ตั้งแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ แพทองธาร ชินวัตร หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี สืบเนื่องจากคดีที่สมาชิกวุฒิสภา (สว.) 36 คน ร่วมกันยื่นคำร้องต่อประธานวุฒิสภาส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย กรณีคลิปสนทนาของแพทองธาร กับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาของกัมพูชา ขอให้ศาลสั่งให้ความเป็นนายกรัฐมนตรีของ แพทองธาร ชินวัตร สิ้นสุดลง เฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบกับมาตรา 160 (4)(5)
ในที่สุด ศาลได้นัดฟังคำวินิจฉัยในวันที่ 29 สิงหาคมนี้แล้ว ซึ่งจะมีการเรียกไต่สวนพยานบุคคล 3 ปากสุดท้าย คือผู้ถูกร้อง หรือนายกรัฐมนตรีเอง และ ฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในวันที่ 21 สิงหาคม ซึ่งหากไม่มาตามกำหนดนัดถือว่าไม่ติดใจเป็นพยานบุคคล
แพทองธาร ชินวัตร แถลงข่าวกรณีรัฐบาลกัมพูชาไม่ให้ความร่วมมือ ที่บ้านพิษณุโลก
ภาพ: ฐานิส สุดโต
สำหรับรายละเอียดคำร้องของ สว. นำโดย พล.อ. สวัสดิ์ ทัศนา สว. ในฐานะกรรมาธิการการทหาร ได้อ้างถึงคลิปสนทนาของแพทองธาร กับสมเด็จฮุน เซน ที่มีการเอ่ยพาดพิงแม่ทัพภาคที่ 2 แม้นายกรัฐมนตรีจะพยายามแถลงข่าวชี้แจงกรณีคลิปเสียง แต่สมาชิกวุฒิสภาเห็นว่าข้อกล่าวอ้างดังกล่าวฟังไม่ขึ้น เพราะเมื่อมีการเผยแพร่คลิปเสียงเช่นนี้แล้ว นายกรัฐมนตรีย่อมพยายามจะต้องหาข้อแก้ตัวอย่างไรก็ได้
โดย สว. เห็นว่า หากนายกรัฐมนตรีมีเจตนาเจรจาเพื่อยุติปัญหาความขัดแย้ง และการสู้รบระหว่างประเทศเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติจริง นายกรัฐมนตรีสามารถดำเนินการตามหลักเกณฑ์ ขั้นตอน และวิธีการเจรจาทางการทูตตามหลักและมาตรฐานการดำเนินการที่ถูกต้องอย่างโปร่งใส ตามกระบวนการของกระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้
ประการสำคัญคือ ไม่มีเหตุผลความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องแอบเจรจากันเป็นการส่วนตัว และเรียกผู้นำประเทศที่กำลังมีการปะทะกันทางการทหาร หรือสภาวะสงครามที่มีความขัดแย้งทางบูรณภาพแห่งดินแดนและอธิปไตยว่า Uncle หรือลุง และแจ้งว่า “จริงๆ แล้วถ้าท่านอยากได้อะไร ก็ให้ท่านบอกมาได้เลยค่ะ เดี๋ยวจะจัดการให้” รวมทั้งเรียกแม่ทัพภาคที่ 2 ของไทย ซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่อย่างเข้มแข็งเพื่อประเทศชาติและประชาชนว่า “ฝั่งตรงข้าม”
ประกอบกับข้อเท็จจริงที่ปรากฏในห้วงที่ผ่านมา พบว่าหลังจากที่มีเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างทหารไทยกับกัมพูชาบริเวณช่องบก อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ทางฝ่ายผู้นำกัมพูชามีความพยายามขับเคลื่อนและดำเนินมาตรการต่างๆ ตามที่วางแผนอย่างเป็นขั้นเป็นตอนตามลำดับ
โดยเฉพาะการยื่นฟ้องร้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ในขณะที่นายกรัฐมนตรีไทยกลับไม่ค่อยมีความเคลื่อนไหวใดๆ จนบุคคลสำคัญและประชาชนคนไทยต้องออกมาเรียกร้องความรับผิดชอบจากนายกรัฐมนตรีให้ปฏิบัติหน้าที่โดยด่วน พร้อมเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีรักชาติ แต่นายกรัฐมนตรีไทยยังคงนิ่งเฉย และไม่ค่อยมีความเคลื่อนไหวหรือกำหนดมาตรการใดที่มีความชัดเจน
อีกทั้งเมื่อสื่อมวลชนตั้งคำถามด้วยความห่วงใยประเทศ ในทำนองว่าทางกัมพูชามีการรุกล้ำพื้นที่เข้ามาแล้ว 200 เมตร นายกรัฐมนตรีกลับถามทันทีว่า ไปดูมาแล้วหรือยัง และผู้สื่อข่าวจึงตอบว่า แม่ทัพภาคที่ 2 ยืนยันมาแล้วว่ามีการรุกล้ำเข้ามา 200 เมตร รวมทั้งการตั้งคำถามเกี่ยวกับความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างตระกูลชินวัตร กับตระกูลสมเด็จฮุน เซน เพื่อให้นายกรัฐมนตรีชี้แจง แต่นายกรัฐมนตรีกลับโกรธจนควบคุมตัวเองไม่ได้ พูดจาประชดสื่อมวลชน
พล.อ. สวัสดิ์ ทัศนา พร้อมคณะ สว. แถลงเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่ง
ภาพ: ศวิตา พูลเสถียร
นอกจากนี้ ยังอ้างถึงเหตุการณ์ประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา ในช่วงวันที่ 14-15 มิถุนายน 2568 ที่กรุงพนมเปญ กัมพูชา ซึ่งผู้นำกัมพูชาใช้โอกาสนี้ออกแถลงการณ์ที่ไม่ถูกต้อง กรณีการหยิบยกเรื่องนำข้อพิพาท 4 จุด เข้าสู่การพิจารณาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ และมีการหารือเรื่องการใช้แผนที่ 1:200,000 ในการกำหนดเขตแดน แต่ฝ่ายไทยมีเพียงการออกเอกสารข่าวระดับกระทรวงการต่างประเทศปฏิเสธในเรื่องนี้ ส่วนนายกรัฐมนตรีในฐานะผู้นำรัฐบาล กลับนิ่งเฉย ไม่ได้ดำเนินการแถลงข่าวโต้แย้งในทันที เพียงแต่นัดประชุมฝ่ายความมั่นคงในวันต่อมาอย่างใจเย็น
จากข้อเท็จจริงและเหตุการณ์ที่ผ่านมาทั้งหมด สว. จึงเกิดความสงสัยว่า เหตุใดนายกรัฐมนตรีไทยจึงแสดงออกถึงความนิ่งเฉยและไม่ปฏิบัติหน้าที่ในการโต้ตอบ หรือกำหนดมาตรการ รวมถึงการเจรจาระหว่างประเทศด้วยตนเองให้เป็นที่ประจักษ์ ตามหน้าที่ความรับผิดชอบที่บุคคลผู้อยู่ในสภาวะ วิสัย และพฤติการณ์ แห่งความเป็นนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นผู้นำสูงสุดของประเทศพึงกระทำ
จนกระทั่งผู้นำฝ่ายกัมพูชานำคลิปเสียงการสนทนามาเผยแพร่ในวันที่ 18 มิถุนายน 2568 จึงเป็นหลักฐานที่ทำให้ สว. เข้าใจว่า นายกรัฐมนตรีไทยนิ่งเฉย เพราะเหตุแห่งความสัมพันธ์ส่วนตัว แอบสนทนาแบบที่เป็นฝั่งเดียวกันกับกัมพูชา พร้อมที่จะทำตาม หรือจัดการตามที่ ‘คุณลุงประธานวุฒิสภากัมพูชา’ ต้องการมาโดยตลอด ส่วนแม่ทัพภาคที่ 2 ของไทย นายกรัฐมนตรีมองว่าเป็นฝั่งตรงข้าม ซึ่งถือว่าพฤติการณ์ดังกล่าวของนายกรัฐมนตรีเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่และใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญและกฎหมาย
แพทองธาร ชินวัตร และสมเด็จฮุน เซน ในโอกาสเยือนราชอาณาจักรกัมพูชาอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 23-24 มิถุนายน 2568
ภาพ: กระทรวงการต่างประเทศ
ทั้งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 50 มาตรา 52 มาตรา 161 มาตรา 164 (1) (4) และยังฝ่าฝืนประมวลกฎหมายอาญา หมวด 2 ความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักร และหมวด 3 ความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายนอกราชอาณาจักร และมาตรา 157 ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
อีกทั้งยังฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ ปี 2561 ข้อ 6 ข้อ 7 และข้อ 8 ประกอบข้อ 27 วรรคหนึ่ง อันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
รวมทั้งเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงข้อ 11 ข้อ 12 ข้อ 13 ข้อ 15 ข้อ 16 ข้อ 17 ข้อ 19 ข้อ 21 ประกอบกับข้อ 27 วรรคสอง เพราะตามพฤติกรรมของนายกรัฐมนตรี เจตนาและความร้ายแรงนี้เกิดจากการกระทำดังกล่าวกับสมเด็จฮุน เซน ในสภาวะสงคราม และเกี่ยวกับบูรณภาพแห่งดินแดนและอธิปไตยของไทย ย่อมเป็นเรื่องร้ายแรง
นอกจากนี้ ยังอ้างถึงการกระทำเป็นการฝ่าฝืนประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมืองปี 2564 อีกหลายข้อ จากพฤติกรรมและความผิดดังกล่าวทั้งหมด จึงถือได้ว่า แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และอาจกล่าวได้ถึงขนาดว่า ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตต่อประเทศชาติและประชาชนเลย รวมทั้งฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง อันเป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลง