โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

(มีคลิป) วิวัฒนาการของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการวัดเวลา จากนาฬิกาแดด จนถึงนาฬิกานิวเคลียส

Manager Online

อัพเดต 15 สิงหาคม 2568 เวลา 2.53 น. • เผยแพร่ 1 ชั่วโมงที่ผ่านมา • MGR Online

นับตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ มนุษย์ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติมาโดยตลอด เช่น เห็นกลางวันค่อยๆ เปลี่ยนเป็นกลางคืน เห็นฤดูฝนเปลี่ยนเป็นฤดูหนาว เห็นดาวเคราะห์โคจรไปในท้องฟ้า เห็นการเกิดและการแตกดับของสิ่งมีชีวิต ฯลฯ ผู้คนก็เริ่มมีความคิดและความเข้าใจในความหมายของคำว่า “เวลา” และได้เรียกช่วงเวลาที่โลกเปลี่ยนจากกลางวัน เป็นกลางคืน แล้วกลับสู่กลางวัน อีกคำรบหนึ่งว่าเวลา 1 วัน จากนั้นได้แบ่ง 1 วัน ออกเป็น 24 ชั่วโมง และให้ 1 ชั่วโมง มี 60 นาที โดยที่ 1 นาที มีค่าเท่ากับ 60 วินาที ดังนั้นเราจึงอาจให้คำจำกัดความของเวลาได้ว่า คือ สิ่งที่วัดเป็นวินาที

ประวัติศาสตร์มิได้มีการบันทึกไว้อย่างชัดเจนว่า มนุษย์เริ่มรู้วิธีวัดเวลาตั้งแต่เมื่อใด Herodotus (484-425 ปีก่อนคริสตกาล) นักประวัติศาสตร์กรีก ได้เคยกล่าวถึงว่าชาวบาบิโลนในดินแดน Mesopotamia ว่า รู้จักใช้นาฬิกาแดดที่ทำด้วยเสาไม้ปักดิ่งอยู่กลางแดด เพื่อทำให้เกิดเงา แล้วใช้ความยาวของเงา เป็นตัวเลขบอกเวลาตั้งแต่เมื่อ 4,500 ปีก่อน

ด้านชาวกรีกโบราณก็รู้จักสร้างนาฬิกาน้ำ (clepsydra) โดยคำนี้มีรากศัพท์มาจาก clep ที่แปลว่า ขโมย และ hydra ที่แปลว่า น้ำ เพราะนาฬิกาน้ำทำงานโดยอาศัยหลักการว่า น้ำที่ไหลออกจากภาชนะดินเผาที่มีน้ำบรรจุเต็มเป็นสายทีละน้อย มีลักษณะเหมือนกับการขโมยน้ำ ช่วงเวลาที่น้ำไหลออกจนหมดภาชนะ นับเป็นเวลา 1 clepsydra นาฬิกาน้ำนี้ได้เป็นที่นิยมใช้ยิ่งกว่านาฬิกาแดด เพราะสามารถทำงานได้ทั้งกลางวันและกลางคืน ทั้งเวลาฝนตกและเวลาแดดไม่ออก แต่นาฬิกานี้มีข้อเสียตรงที่ต้องมีการเติมน้ำในทันทีที่น้ำไหลออกหมดภาชนะ ดังนั้นถ้าพนักงานเติมน้ำลืมหน้าที่นี้ เวลาก็จะหายไปช่วงหนึ่ง หรือเวลาน้ำกลายเป็นน้ำแข็งในฤดูหนาว นาฬิกาน้ำก็จะหยุดทำงาน

พัฒนาการของการสร้างนาฬิกาขั้นต่อไป คือ ใช้ทรายแทนน้ำ นาฬิกาทราย (hourglass) จึงเกิดขึ้น แต่นาฬิกานี้มีจุดบกพร่องตรงที่เวลาในการให้เม็ดทรายทยอยไหลลงจากขวดบนจนหมด เวลาในการไหลของทรายขึ้นกับขนาดของเม็ดทราย และขนาดของรูกว้างที่ให้เม็ดทรายเล็ดรอดผ่าน นอกจากนี้แต่ละช่วงเวลาในการไหลของเม็ดทรายนั้นก็ไม่สม่ำเสมอ เพราะขณะเม็ดทรายอยู่เต็มขวด เม็ดทรายจะเคลื่อนที่เร็ว เวลาจึงผ่านไปเร็ว แต่เวลาเม็ดทรายในขวดแก้วเหลือน้อย ความเร็วในการไหลของทรายจะช้า

นาฬิกาทรายจึงเดินอย่างเป็นมาตรฐาน ทำให้ไม่เป็นที่นิยมใช้ เพราะไม่มีใครชอบนาฬิกาที่เดินไม่สม่ำเสมอ

ในปี 1364 Giovanni de' Dondi (1318-1389) แห่งเมือง Padova ในอิตาลี ได้คิดสร้างนาฬิกาที่มีหน้าปัดและเข็มนาฬิกาแสดงตัวเลขบอกเวลาเป็นชั่วโมง และบอกตำแหน่งของดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ และดาวเคราะห์ (ซึ่งในเวลานั้นรู้จักกันว่ามีเพียง 5 ดวง) ขนาดที่ใหญ่เทอะทะของนาฬิกา เพื่อให้บอกข้อมูล (ที่ไม่จำเป็น) นี้ ทำให้เศรษฐีเท่านั้น ที่จะมีนาฬิกานี้ในครอบครองได้ ส่วนคนจนจะรู้เวลาได้จากการฟังเสียงระฆังโบสถ์ ซึ่งก็มักจะมีนักบวชเป็นคนคอยตีระฆัง เพราะสังคมในเวลานั้นเชื่อว่า เวลา คือ สิ่งที่พระเจ้าทรงประทานให้แก่มนุษย์อย่างปราศจากเงื่อนไขใด ๆ ดังนั้นเวลาให้ใครยืมเงินแล้ว จึงไม่ควรคิดอัตราดอกเบี้ยตามเวลา ด้วยเหตุนี้สังคมยุคนั้นจึงนิยมให้นักบวช (บาทหลวง) เป็นคนควบคุมเวลา

ความคิดจะสร้างนาฬิกาที่เดินเที่ยงตรงได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในปี 1582 เมื่อ Galileo Galilei (1564-1642) ได้พบว่า ลูกตุ้มที่แขวนห้อยจากเพดานด้วยเชือกยาว จะแกว่งไป-มาครบหนึ่งรอบ โดยใช้เวลานานเท่ากันเสมอ ไม่ว่าช่วงกว้าง (แอมพลิจูด) ของการแกว่งจะมากหรือจะน้อยเพียงใด นาฬิกาเพนดูลัม (pendulum clock) ของ Galileo สามารถเดินได้เที่ยงพอสมควร ถ้าเชือกไม่ยืด และบริเวณที่แกว่งลูกตุ้มไม่มีลมพัดเร็ว

อีก 16 ปีต่อมา Christiaan Huygens (1629-1695) นักฟิสิกส์ชาวเนเธอร์แลนด์ ได้ประดิษฐ์นาฬิกาที่ทำงานโดยเครื่องกลซึ่งมีล้อ ฟันเฟือง และลวดสปริง เพื่อใช้ควบคุมการแกว่งของลูกตุ้มให้มีคาบการแกว่งที่สม่ำเสมอ โดยคาบการแกว่งไม่ขึ้นกับอุณหภูมิ ความดันอากาศ และแรงเสียดทานใดๆ นาฬิกาของ Huygens ได้เป็นที่นิยมใช้กันนานถึง 250 ปี

ในปี 1929 Warren Morrison (1936-ปัจจุบัน) ได้พบว่า เวลามีสนามไฟฟ้ากระทำที่ผลึก quartz ผลึกจะสั่นด้วยความถี่คงตัวเท่ากับ 32,768 เฮิรตซ์ นั่นคือ ผลึก quartz จะสั่นเป็นคาบอย่างสม่ำเสมอ สมบัติด้าน piezoelectricity นี้ ได้ชักนำให้นักเทคโนโลยีนำ quartz ไปสร้างนาฬิกาเป็นนาฬิกาควอทซ์ (quartz clock) ที่สามารถบอกเวลาผิดพลาดไม่เกิน 0.5 วินาที ภายในเวลา 1 วัน แต่เมื่อความถี่ในการสั่นของผลึกขึ้นกับความถี่ของกระแสไฟฟ้าที่ใช้ ดังนั้นเวลา 1 วินาทีที่วัดได้ขึ้นกับสภาพแวดล้อม ข้อจำกัดในประเด็นนี้จึงทำให้นาฬิกาควอทซ์ มิสามารถธำรงไว้ซึ่งความเป็นมาตรฐานได้

ในขณะที่เทคโนโลยีการสร้างนาฬิกาเพื่อวัดเวลาให้เดินเที่ยงตรงเป็นเวลานานๆ รุดหน้าอย่างตลอดเวลา นักวิทยาศาสตร์ได้พบเหตุการณ์ที่แสดงว่า คำจำกัดความของเวลา 1 วินาที ต้องมีการปรับเปลี่ยนด้วย เพราะจากเดิมที่เราเคยกำหนดว่า เวลา 1 วัน คือเวลาที่โลกหมุนรอบตัวเอง จนครบรบ และมี 86,400 วินาทีนั้น ในแต่ละปี โลกจะหมุนช้าลงๆ

ในปี 1895 Simon Newcomb (1835–1909) ได้พบว่า ในช่วงปี 1680-1800 โลกได้หมุนช้าลงปีละ 0.00225 วินาที และระหว่างปี 1800-1900 โลกก็หมุนช้าลงปีละ 0.003 วินาที การหมุนรอบตัวเองที่เปลี่ยนแปลงอย่างไม่สม่ำเสมอนี้ เกิดขึ้นเพราะโมเมนต์ความเฉื่อยของโลกมีการเปลี่ยนแปลง คือ ไม่คงตัว เนื่องจากได้เกิดการก่อและการละลายของมวลน้ำแข็งที่บริเวณขั้วโลก การไหลของกระแสน้ำในมหาสมุทรที่มีความเร็วและทิศที่ไม่สม่ำเสมอ นอกจากนี้ก็มีแรงเสียดทานจากมวลอากาศและพายุที่พัดเหนือผิวโลก ดังนั้นเวลา 1 วัน ที่เคยกำหนดว่ามี 86,400 วินาที พอดิบพอดี จึงไม่ถูกต้องอีกต่อไป

ด้วยเหตุนี้สหพันธ์ Union of Pure and Applied Physics กับ International Committee for Weights and Measures จึงได้กำหนดคำจำกัดความของเวลา 1 วินาทีใหม่โดยให้ไม่ขึ้นกับเวลาที่โลกใช้ในการหมุนรอบตัวเองอีกต่อไป แต่เป็นเวลาที่คลื่นแสงจำนวน 9,192,031,370 ลูก ถูกปลดปล่อยออกมาอะตอมของธาตุ caesuim-133 เวลาอะตอมถูกกระตุ้นด้วยคลื่น microwave เพราะอิเล็กตรอนวงนอกสุดในอะตอม Cs-133 มีระดับพลังงานที่เสถียรมาก โดยไม่ขึ้นกับอุณหภูมิและความดันของสิ่งแวดล้อม ดังนั้นค่าความแตกต่างระหว่างระดับพลังงานที่เกิดจากอันตรกิริยาระหว่าง spin ของอิเล็กตรอนในวงนอกสุดกับ spin ของนิวเคลียส จึงมีค่าคงตัว คลื่นแสงที่อะตอมเปล่งออกมา เวลาอิเล็กตรอนเปลี่ยนระดับพลังงาน จึงมีความถี่คงตัวด้วย และนั่นก็หมายความว่า เวลา 1 วินาที ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงนี้ก็จะมีค่าคงตัวด้วย ไม่ว่าอะตอม Cs-133 นั้นจะอยู่ ณ ที่ใดในเอกภพ เวลา 1 วินาทีนี้ จึงมีความเป็นมาตรฐานยิ่งกว่านาฬิกาเพนดูลัมถึง 7 ล้านเท่า และแนวคิดนี้ได้ชักนำให้ Louis Essen (1908-1997) แห่ง National Physical Laboratory ที่ Teddington ในอังกฤษ ได้ประสบความสำเร็จในการสร้างนาฬิกาอะตอมเรือนแรกของโลกที่เดินผิดพลาดไม่เกิน 1 วินาที ใน 300 ปี

ตามปกติทั่วไป เราใช้เวลา 1 วินาทีในการระบุปริมาณต่าง ๆ เพื่อให้ทุกคนเข้าใจความสำคัญของข้อมูลนั้นๆ ตรงกัน

เช่น กำหนดความเร็วแสงในสุญญากาศให้มีค่า 299,792,458 เมตร/วินาที ซึ่งหมายความว่า ในเวลา 1 วินาที แสงจะเดินทางในสุญญากาศได้ระยะทาง 299,792,458 เมตร รู้ว่าระบบสุริยะอันมีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางจะโคจรไปรอบจุดศูนย์กลางของกาแล็กซีทางช้างเผือกด้วยความเร็ว 230 กิโลเมตร/วินาที วัดความเร็วของโลกในการโคจรรอบดวงอาทิตย์ได้ว่ามีค่าเท่ากับ 29.78 กิโลเมตร/วินาที และรู้ว่ายาน Voyage I และ II ณ เวลานี้มีความเร็ว 17.0 กิโลเมตร/วินาที และ 13.4 กิโลเมตร/วินาที ตามลำดับ และโลกมีทารกเกิดใหม่ 4.4 คน ในทุกวินาที และทุกวินาทีจะมีคนเสียชีวิต 1.8 คน

สำหรับข้อมูลที่เป็นสิ่งแวดล้อม ก็มีว่าโลกปลดปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา 1,820 ตัน/วินาที และที่ห้องปฏิบัติการ Lawrence Livermore National Laboratory ในสหรัฐอเมริกาฯ มีคอมพิวเตอร์ชื่อ El Capitan ที่มีประสิทธิภาพสูงมาก คือ สามารถคำนวณได้ 1.742x1018 ครั้ง/วินาที และปริมาณข้อมูลที่ถูกเก็บอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ของ CERN คือ 1,024 petabyte/sec (โดยที่ 1 petabyte มีค่าเท่ากับ 1015 byte) และสุดท้าย คือ คนบนโลกมีการส่ง e-mail ติดต่อถึงกัน 4,356,000 ครั้ง/วินาที เป็นต้น

เราจึงเห็นได้ว่า เวลา 1 วินาทีมีบทบาทมากในการควบคุมและกำกับกิจกรรมดำรงชีวิตของผู้คนแทบทุกคนบนโลก ดังนั้นเวลา 1 วินาทีจึงเป็นช่วงเวลาที่ควรจะนานเท่ากัน (เพื่อความเสมอภาค) สำหรับทุกคน

แต่ความจริงมีอยู่ว่า เวลา 1 วินาทีสำหรับคนแต่ละคนที่กำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วต่างกัน หรือแม้แต่จะอยู่ ณ สถานที่แตกต่างกัน ก็นานไม่เท่ากัน

ทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษของ Albert Einstein (1879-1955) ได้ทำนายและอธิบายไว้ว่า คนที่เดินเร็ว จะชราช้า เพราะนาฬิกาที่คนนั้นถือติดตัว จะเดินช้า ในทำนองเดียวกับคนบนยานอวกาศที่กำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสม่ำเสมอ นาฬิกาในยานจะเดินช้ากว่านาฬิกาของคนบนโลก นาฬิกาที่อยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรจะเดินช้ากว่านาฬิกาที่ขั้วโลก และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้นาฬิกาที่ Paris เดินเร็วกว่านาฬิกาที่ London ประมาณวันละ 10^(-9) วินาที ทั้งนี้เพราะ Paris อยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรยิ่งกว่า London

ในกรณีแรงดึงดูดแบบโน้มถ่วงระหว่างมวลนั้นก็เช่นกัน ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปได้อธิบายว่า แรงนี้เกิดจากสาเหตุที่บริเวณระหว่างมวล (คือ ปริภูมิ-เวลาที่มี 4 มิติ) ถูกบิดโค้ง ความบิดเบี้ยวของปริภูมิ-เวลา ได้ทำให้เกิดแรงดึงดูดระหว่างมวล

ผลที่เกิดตามมา คือ บนยอดเขาสูง ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีความเร่ง เนื่องจากแรงโน้มถ่วงมีค่าน้อย นาฬิกาจะเดินเร็วกว่านาฬิกาที่ตีนเขา กระนั้นความแตกต่างของเวลาเหล่านี้ก็มิได้มีค่ามาก คือ มากในระดับนาโนวินาทีเท่านั้นเอง ดังนั้นเวลาเราเดินทางไปตามสถานที่ต่าง ๆ ที่มีความเร่งเนื่องจากแรงโน้มถ่วงแตกต่างกัน เราจึงไม่จำเป็นต้องปรับเวลาในนาฬิกาข้อมือ เพราะความแตกต่างมีค่าน้อยมากนั่นเอง

แต่ในกรณีการสื่อสารด้วยระบบ GPS (Global Positioning System) ที่มีดาวเทียมหลายดวง ซึ่งถูกส่งขึ้นไปอวกาศ ให้โคจรอยู่เหนือโลกที่ระยะสูงประมาณ 20,000 กิโลเมตร และโคจรด้วยความเร็ว 13,500 กิโลเมตร/ชั่วโมง ด้วยความเร็วนี้ เวลาบนดาวเทียมจะเดินช้ากว่าเวลาของนาฬิกาบนโลกวันละ 7x10(-6) วินาที แต่ในเวลาเดียวกันที่ระยะสูง ซึ่งแรงดึงดูดระหว่างโลกกับดาวเทียมน้อย นาฬิกาบนดาวเทียมจะเดินเร็วกว่านาฬิกาบนโลก 38x10(-6) วินาที/วัน ผลลัพธ์ คือ นาฬิกาจะเดินเร็ววันละ 31x10^(-6) วินาที การปรับแก้เรื่องเวลาจึงเป็นประเด็นจำเป็นที่จะช่วยทำให้เรารู้ตำแหน่ง (เส้นรุ้ง เส้นแวง และระยะสูงของสถานที่ทั่วโลกได้อย่างถูกต้อง)

ความจริงอีกประการหนึ่งที่ควรรู้มีว่า ในบรรดาการวัดค่าต่าง ๆ ในฟิสิกส์ ไม่ว่าจะเป็นระยะทาง พลังงาน ความเร็ว โมเมนตัม ฯลฯ เทคโนโลยีการวัดเวลาเป็นเทคโนโลยีที่นักฟิสิกส์สามารถใช้วัดได้ละเอียดที่สุด และแม่นยำที่สุด และเมื่อเวลามีค่าเป็นปฏิภาคผกผันกับความถี่ ดังนั้นการวัดความถี่ก็สามารถทำให้เราวัดเวลาได้

ในปี 1955 นักฟิสิกส์ชาวอังกฤษชื่อ Louis Essen ที่ National Physical Laboratory กับ Jack Parry ได้สร้างนาฬิกาอะตอมขึ้นเป็นครั้งแรก โดยใช้อะตอม cesium-133 เป็นหลัก เพราะในอะตอมนี้มีนิวเคลียส ที่มี spin ดังนั้นนิวเคลียสจึงมีโมเมนต์แม่เหล็กที่จะมีอันตรกิริยากับ spin ของอิเล็กตรอนที่โคจรอยู่รอบนิวเคลียส อันตรกิริยานี้มีชื่อเรียกว่า hyperfine interaction (แตกต่างจากอันตรกิริยาไฟฟ้า) ซึ่งทำให้ระดับพลังงานของอิเล็กตรอนถูกแบ่งแยกเป็นสองระดับ เพราะขึ้นกับว่า spin ของอิเล็กตรอนกับนิวเคลียสสวนทิศกัน หรือมี spin ที่ชี้ในทิศเดียวกัน

ความแตกต่างพลังงาน 8710;E ของอิเล็กตรอนในสองสถานะ มีความสัมพันธ์กับความถี่ 957; ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มันจะส่งออกมาหรือดูดกลืนไป ตามสมการ 8710;E = h957; เมื่อ h เป็นค่าคงตัวของ Planck

ดังนั้นถ้า 8710;E มีค่าคงตัว 957; ก็จะมีค่าคงตัวด้วย

ในปี 1967 องค์การ International System of Units (SI) จึงได้กำหนดคำจำกัดความของเวลา 1 วินาทีว่า มีค่าเท่ากับความถี่ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่เปล่งออกมาจากอะตอม Cs-133 คือ 9,192,61,770 Hz

นิวเคลียสของอะตอม Cs-133 นั้น ประกอบด้วยโปรตอน 55 อนุภาค และนิวตรอน 78 อนุภาค (55+78=133) และมี nuclear spin = 7/2 อันตรกิริยา hyperfine จะทำให้สถานะพื้นฐานของอิเล็กตรอนในอะตอมนี้ถูกแบ่งออกเป็นสองระดับ ค่า 8710;E ที่เกิดขึ้นนี้ มีเสถียรภาพมาก เพราะไม่ขึ้นกับการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิและความดันอากาศ หรือความชื้นใด ๆ ดังนั้นคลื่นแสงจึงมีความถี่ 9.192631770 GHz (1 gigahertz = 10^9 Hz) ที่สม่ำเสมอ ความถี่นี้จึงเป็นความถี่ของคลื่นที่โลกวิทยาศาสตร์ได้ใช้ในการกำหนดเวลา 1 วินาที

นาฬิกา Cs-133 สามารถเดินได้เที่ยงตรงมาก คือ ผิดพลาดไม่เกิน 1 วินาที จากการเดิน 1.40 ล้านปี

สำหรับอุปกรณ์นาฬิกาอะตอม Cs-133 นั้น มีองค์ประกอบหลัก คือ ลำอะตอม (atomic beam) ที่ได้จากการเผาธาตุ Cs ให้ร้อน จนกลายเป็นไอ แล้วอะตอม Cs จำนวนมากจะถูกพ่นออกจากเตา ทำให้เกิดลำอะตอม Cesium จากนั้นถ้ามีการส่งสนามแม่เหล็กมากระทำที่ลำอะตอม กลุ่มอะตอมจะถูกแยกออกเป็น 2 สถานะ

ขั้นต่อไป คือ การปล่อยให้กลุ่มอะตอมที่มีพลังงานสูงพุ่งต่อไป เข้าสู่โพรง microwave (microwave cavity) ที่มีการปล่อยคลื่น microwave ออกมา ที่ความถี่โดยประมาณเท่ากับ 9.192 GHz (gigahertz โดย 1 GHz เท่ากับ 10^9 Hz) ซึ่งเป็นความถี่ใกล้ความถี่ธรรมชาติของอะตอม ครั้นเมื่อมีการปรับความถี่ของคลื่น microwave ไป จนถึงความถี่ธรรมชาติ 957; = 8710;E/h ปรากฏการณ์กำทอน (resonance) จะเกิดขึ้น โดยอะตอมที่สั่นด้วยความถี่นี้ จะถูกดูดกลืนไปอยู่ในสถานะที่มีพลังงานสูงกว่า

นั่นคือ ถ้ามีการนำสนามแม่เหล็กเข้ามากรองเอาอะตอมที่ไม่เปลี่ยนสถานะออกไป ลำอะตอมที่ผ่านแท่งแม่เหล็กแท่งที่สอง เวลาผ่านถึงเครื่องตรวจจับ (detector) จะพบว่ามีค่ามากที่สุด จากนั้นให้ลำอะตอมผ่านเข้าวงจรย้อนกลับเป็น feedback loop ซึ่งจะล็อคความถี่กำทอน ที่ทำให้เรารู้ความถี่กำทอนแน่ชัดของนาฬิกา

นอกจากอะตอม Cs-133 แล้ว นักวิทยาศาสตร์ก็ยังได้พบว่า อะตอม rubidium-87 (Rb-87) strontium-38 (Sr-38) ytterbium-171 (Yb-171) ปรอท-199 (Hg-199) ก็สามารถนำมาทำเป็นนาฬิกาอะตอมได้ด้วย แต่ต้องใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจาก laser ในการกระตุ้นอะตอม นาฬิกาที่ใช้แสง laser นี้จึงมีชื่อเรียกว่า optical clock

ตลอดเวลา 70 ปีที่ผ่านมานี้ นาฬิกาอะตอมได้ถูกนำไปใช้ในการค้นหาสสารมืด ตรวจสอบค่าคงตัวต่าง ๆ ในธรรมชาติ เช่น ค่า fine structure constant ว่า เปลี่ยนแปลงหรือไม่ เพราะ ความเร็วแสง ซึ่งตามทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษต้องมีค่าคงตัว เพราะถ้าความเร็วแสงเปลี่ยน สูตรต่าง ๆ ของฟิสิกส์ก็จะต้องเปลี่ยนตาม เป็น E=mc^3 เป็นต้น แต่ก็ปรากฏว่า ยังไม่พบการเปลี่ยนแปลงของค่าคงตัวใดๆ เลย

เพราะนาฬิกาอะตอมแต่ละเครื่องที่มีใช้ในแต่ละสถานที่บนโลก เช่น London, Paris, Braunschweig ฯลฯ มีความผิดพลาดในการเดินไม่เท่ากัน ดังนั้นเวลานำนาฬิกาอะตอมไปใช้จริงๆ จึงต้องมีการเฉลี่ยความผิดพลาดที่เกิดขึ้นด้วย

ถึงวันนี้ ทีมวิจัยจากนานาประเทศ เช่น จาก University of Colorado และ Vienna University of Technology ในออสเตรีย กำลังร่วมมือกันสร้างนาฬิกานิวเคลียส (nuclear clock) ไม่ใช่นาฬิกานิวเคลียร์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานนิวเคลียร์ เพราะนาฬิกานิวเคลียสจะมีความเที่ยงตรงในการเดินสูงยิ่งกว่านาฬิกาอะตอมขึ้นไปอีก และนั่นก็หมายความว่า ความผิดพลาดในการบอกเวลาก็จะยิ่งน้อยลงไปมาก

โดยในปี 1976 ได้มีการสังเกตเห็นว่า ธาตุกัมมันตรังสี actinium-229 (Ac-229) เวลาสลายตัวเป็น thorium-229 (Th-229) ซึ่งเป็นธาตุที่มีพบในเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ นิวเคลียสใหม่ที่เกิดขึ้น ซึ่งประกอบด้วยอนุภาค nucleon (โปรตอนและนิวตรอน) จะมีระดับพลังงานที่แตกต่างกัน = 8.355743 177; 0.000003 electron volts ดังนั้นถ้ามีการฉายรังสี UV ที่มีพลังงานเหมาะสมเท่ากับพลังงานที่แตกต่างกันนี้ nucleon ก็จะถูกกระตุ้นในทันที และจะมีการปล่อยรังสีแกมมาออกมา ในทำนองเดียวกับนาฬิกาอะตอม

ในงานวิจัยที่ลงพิมพ์ในวารสาร Physical Review Letters ภายใต้ชื่อว่า Temperature Sensitivity of a Thorium-229 Solid State Nuclear Clock PRL (2025) DOI: 10-1103 PhysRevLett. 154.1.113801 ทีมวิจัยภายใต้การนำของ Jacob S. Higgins et.al. ได้พบว่าอะตอม thorium-229 ที่ถูกฝังอยู่ในผลึก CaF2 (calcium fluoride) เวลาได้รับการกระตุ้นด้วยรังสีแกมมาหรือรังสีเอกซ์ จะสามารถปล่อยคลื่นที่มีความถี่ละเอียดถึงระดับ 10^(-18) ส่วนได้

ครั้นเมื่อนักทดลองเปลี่ยนอุณหภูมิของสิ่งแวดล้อม คือ ทำให้ผลึกของ CaF2 มีอุณหภูมิ 150K, 229K และ 293K ความถี่ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง นั่นคือ เวลาในนาฬิกา 1 วินาทีของนาฬิกานิวเคลียสไม่ขึ้นกับอุณหภูมิ และสภาพแวดล้อม ทั้ง ๆ ที่อุณหภูมิได้ทำให้ผลึกขยายตัว-หดตัว ซึ่งทำให้ความหนาแน่นของอิเล็กตรอนในผลึกและอันตรกิริยาที่กระทำต่อนิวเคลียสเปลี่ยนแปลง แต่ประสิทธิภาพในการทำงานของนาฬิกานิวเคลียสก็ยังคงเดิม

อย่าเพิ่งไปซื้อนาฬิกานิวเคลียสนะครับ เพราะขณะนี้ยังไม่มีขายในตลาด อีกประมาณ 5 ปี จึงจะได้ใช้ ตอนนี้จึงต้องยืมนาฬิกาเพื่อนใช้ไปก่อน

อ่านเพิ่มเติมจาก Conover, Emily (5 September 2024). "A nuclear clock prototype hints at ultraprecise timekeeping". Science News. Also appears in the 5 October print edition (p. 7) titled "Nuclear clock prototype makes debut".

ศ.ดร.สุทัศน์ ยกส้าน : ประวัติการทำงาน - ราชบัณฑิตสำนักวิทยาศาสตร์ สาขาฟิสิกส์และดาราศาสตร์ และ ศาสตราจารย์

ระดับ 11 ภาควิชาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ,นักวิทยาศาสตร์ดีเด่นและนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ สาขากายภาพและคณิตศาสตร์ประวัติการศึกษา-ปริญญาตรีและโทจากมหาวิทยาลัยลอนดอน,ปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย

อ่านบทความ "โลกวิทยาการ" ได้ทุกวันศุกร์

website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก Manager Online

สื่อเยอรมันตั้งคำถาม กองทัพไทยกำลังเตรียมการ...หรือไม่ หลัง "ทุ่นระเบิดสนามกัมพูชา" ทำทหารไทยขาขาดรายวันถูกมองเป็นแค่ 'อุบัติเหตุ' มีสิทธิ์นำไปสู่รัฐประหารรอบใหม่?

34 นาทีที่แล้ว

“จอนนี่ มือปราบ” วอนโซเชียลอย่าแขวะ อย่าดราม่าซ้ำเติม ผมไม่ใช่คนเลว มีผิดพลาดกันได้

38 นาทีที่แล้ว

TACCกำไรสุทธิโต จ่ายปันผล 0.21 บาท

41 นาทีที่แล้ว

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเผยเงินบาทปิดตลาดที่ 32.36-ติดตามฟันด์โฟลว์-ราคาทองคำ

56 นาทีที่แล้ว

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความทั่วไปอื่น ๆ

สมรังสี ไล่บี้ฮุนเซน เพราะขัดแย้งกับไทย กัมพูชาเสียทั้งทหารและดินแดน

TOJO NEWS

สาธิตเกษตรฯ ชวน มทภ.2 เล่าประสบการณ์แนวหน้า สอนนักเรียน "รักษาอธิปไตยชาติ"

สยามรัฐ

สมาคมเซมิคอนดักเตอร์ ห่วงสหรัฐฯ คุมเกม Transshipment ชี้โจทย์ใหญ่แก้โครงสร้างส่งออกไทย

THE STANDARD
วิดีโอ

"อิ๊งค์" สู้ตาย ! - ไฮไลท์ประเด็นร้อน

สยามรัฐ

6 เกจิดังถกคุย 450 พระวัดป่าวาระพิเศษ เคร่งพระธรรมวินัยแก้สงฆ์เสื่อม

เดลินิวส์

สื่อเยอรมันตั้งคำถาม กองทัพไทยกำลังเตรียมการ...หรือไม่ หลัง "ทุ่นระเบิดสนามกัมพูชา" ทำทหารไทยขาขาดรายวันถูกมองเป็นแค่ 'อุบัติเหตุ' มีสิทธิ์นำไปสู่รัฐประหารรอบใหม่?

Manager Online

ผกก.สังขละฯ จมูกไว จับคนขับ 10 ล้อขนส่งสินค้า 3 คันรวด บุหรี่เถื่อน 300 หีบ มูลค่า 2 ล้าน

เดลินิวส์

ธ.ก.ส. – EXIM BANK – SME D Bank เดินหน้าหั่นดอกเบี้ย 0.25% ตามมติ กนง.

THE STANDARD

ข่าวและบทความยอดนิยม

ซินโครตรอนชวนชม “ซินโครตรอนแลนด์” สัมผัสโลกของคลื่นเสียง และการกำเนิดแสงซินโครตรอน ในงานมหกรรมวิทย์ 68

Manager Online

สวทช. ร่วมมือ มรภ.อุดรธานี การถ่ายทอดเทคโนโลยีไม้ดอก “ปทุมมา” ส่งเสริมห่วงโซ่การผลิต เตรียมพร้อมการจัดงานพืชสวนโลก 2569

Manager Online

“สุดาวรรณ” มอบรางวัล 4 ผู้ประกอบการที่เข้ารับบริการจากอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาคที่มีผลงานโดดเด่น ชี้ความสำเร็จของผู้ประกอบการสะท้อนความมุ่งมั่นตั้งใจของกระทรวง อว. ในการส่งเสริมธุรกิจนวัตกรรม

Manager Online
ดูเพิ่ม
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...